JJNY : ส.ส.ปชน.ยันชัดกัมพูชา│อ.นิติศาสตร์มธ.ชี้การยิงเป้าหมายพลเรือน-รพ.│ธุรกิจท่องเที่ยวอ่วม│สถานทูตสหรัฐขอใช้สันติวิธี

ส.ส.ปชน. ยันชัดกัมพูชา จงใจขัดธรรมนูญกรุงโรม โจมตีพลเรือน เป็นอาชญากรรมสงคราม
https://www.matichon.co.th/politics/news_5291025
.
.
ส.ส.ปชน. ยันชัดกัมพูชา จงใจขัดธรรมนูญกรุงโรม โจมตีพลเรือน เป็นอาชญากรรมสงคราม
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่านแอปพลิเคชัน X ถึงกรณีที่ 

นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ขอให้ UNSC เรียกประชุมโดยด่วน อ้างความเท็จว่า กองทัพไทยรุกราน สร้างสถานการณ์เล่นบทเหยื่อเพื่อสิ่งนี้ล่ะครับ
.
ขอกต.ไทย เร่งชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ต่อนานาชาติโดยเร็วครับ
.
“การจงใจโจมตีพลเรือนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในการสู้รบ” ถือเป็น “อาชญากรรมสงคราม” ตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 และ ธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคี มาตรา 8(2)(b)(i)
.
“ทั้งยังเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ: มาตรา 3 และ 27 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต การละเมิดดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็น “อาชญากรรมสงคราม” กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน”
.
https://x.com/ChaiwatPublic/status/1948270372173803654
https://x.com/ChaiwatPublic/status/1948311631617798419
https://x.com/ChaiwatPublic/status/1948311626764976613
.

.
อ.นิติศาสตร์ มธ. ชี้การยิงเป้าหมายพลเรือน-รพ. เป็น 1 ใน 4 ความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9864051
.
อ.นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชี้การยิงเป้าหมายพลเรือน-รพ. เป็น 1 ใน 4 ความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุดตามธรรมนูญกรุงโรม เผยช่องทางขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

วันที่ 24 ก.ค.2568 รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม แสดงความคิดเห็นกรณีการปะทะกันระหว่าง กัมพูชา กับ ไทย ความว่า

1. การยิงเป้าหมายพลเรือน โรงพยาบาล ในการขัดกันทางอาวุธระหว่างประเทศเป็นอาชญากรรมสงคราม (war crimes) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุดตามธรรมนูญกรุงโรม
.
2. การใช้อาวุธโจมตีดินแดนรัฐอื่น ที่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง หรือตามมติของสหประชาชาติ เป็นอาชญากรรมรุกราน (aggression) ซึ่งเป็น1ใน4 ความผิดร้ายแรงสูงสุดตามธรรมนูญกรุงโรมเช่นกัน เป็นอาชญากรรมรุกรานได้แม้จะไม่มีทหารบุกรุกเข้ามา
.
3. กัมพูชาเป็นรัฐภาคีธรรมนูญกรุงโรม ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) จึงมีเขตอำนาจดำเนินคดีกับการกระทำเกิดขึ้นในดินแดนรัฐภาคี หรือกระทำโดยบุคคลสัญชาติของรัฐภาคี
.
4. ไทยไม่ใช่ภาคีของธรรมนูญกรุงโรม แต่อาจแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาล ICC เฉพาะเรื่องตามข้อ12(3) ได้ (ad hoc acceptance) ซึ่งการยอมรับดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐภาคีธรรมนูญกรุงโรม เพียงแต่ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจดำเนินคดีกับการกระทำเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศได้
.
5. ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีอำนาจดำเนินคดี รวมทั้งออกหมายจับกับบุคคลธรรมดาผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุด4ฐาน หากเข้าเงื่อนไขที่กำหนด หากมีการออกหมายจับแล้ว อย่างน้อย125 ประเทศภาคีจะให้ความร่วมมือ
.
ศาลอาญาระหว่างประเทศ(ICC) ไม่ใช่ศาลโลก(ICJ) ที่มีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทเรื่องเขตแดน
.
https://www.facebook.com/pokpong.srisanit/posts/31241159145469385
.

.
ธุรกิจท่องเที่ยวอ่วม คนไทยแบกภาระหนี้สูง-ศก.ไม่ดี ทุบความเชื่อมั่นต่ำสุดในรอบปี
https://www.matichon.co.th/economy/news_5291301
.
นางสาวผกากรอง เทพรักษ์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศ ไตรมาส 2/2568 จากการประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวจากสถานประกอบการ 741 สถานประกอบการ พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลงอยู่ที่ระดับ 70% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 83% ถือเป็นการลดลงในระดับมากและลดลงมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ในระดับ 79% และคาดว่าการณ์ว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3/2568 อยู่ที่ที่ 65% โดยคาดว่าทั้งปี 2568 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 33.3 ล้านคน น้อยกว่าปี 2562 คิดเป็นสัดส่วน 16.5% น้อยกว่าปี 2567 ประมาณ 6.2% สร้างรายได้ 1.75 ล้านล้านบาท น้อยกว่าปี 2562 ประมาณ 8.3% ส่วนนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ 4.5 ล้านคน สร้างรายได้ 225,000 ล้านบาท
.
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า จากการสำรวจคนไทยจำนวน 450 คนทั่วประเทศ พบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างจังหวัดของคนไทย ในไตรมาส 2/2568 ประมาณ 4,976 บาท/คน/ทริป เพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 64% มีหนี้สิน โดยมีหนี้สินประมาณ 32% ของรายได้ โดยอาชีพเกษตรกรและอาชีพรับจ้างทั่วไปได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนมากกว่าอาชีพอื่น เนื่องจากมีรายได้น้อยและรายได้ไม่แน่นอน จึงคาดการณ์การสถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยในไตรมาส 3/2568 พบว่ามีแนวโน้มลดลงมากที่สุดถึง 31% นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
.
“อาจเป็นเพราะคนไทยขาดกำลังซื้อและเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ประชาชนต้องการให้มีโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศขึ้นอีกครั้ง จากการสำรวจนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 302 คน พบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2568 ประมาณ 46,718 บาท/คน/ทริป โดยนักท่องเที่ยวยุโรป ใช้จ่ายมากที่สุด 64,169 บาท/คน/ทริป รองลงมาเป็นตะวันออกลาง 56,889 บาท/คน/ทริป ส่วนนักท่องเที่ยวจีน ค่าใช้จ่าย ประมาณ 50,000 บาท/คน/ทริป” นางสาวผกากรอง กล่าว
.
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า รายได้ในภาพรวมของสถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45% ของก่อนเกิดโควิด-19 ปี (2562) ลดลง 58% จากไตรมาสที่ 1/2568 ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2565 ช่วงที่การระบาดของโรคโควิดเริ่มผ่อนคลายและมีการยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ธุรกิจร้านอาหารมีรายได้ประมาณ 54% ของก่อนเกิดโควิด รองลงมา คือ ธุรกิจที่พักแรม 48% ส่วนร้านขายของฝาก/ของที่ระลึกและสถานบันเทิง 39% รายได้ลดลงมากที่สุด สถานประกอบการในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีรายได้เป็นบวกมากกว่าภาคอื่น 49% ส่วนภาคเหนือ 40% มีรายได้ลดลงกว่าช่วงเวลาปกติมากที่สุด อัตราการเข้าพักของธุรกิจที่พักแรมในไตรมาส 2/2568 ในภาพรวม 48% ลดลง 56% ในระดับมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 โดยภาคตะวันตกมีอัตราการเข้าพักสูงกว่าภูมิภาคอื่น 53% รองลงมาเป็นภาคตะวันออก 50%
.
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า คาดการณ์ไตรมาส 3/2568 ผู้ประกอบการเกือบทุกภูมิภาคคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2568 จะลดลงกว่าไตรมาสนี้ ยกเว้นภาคกลางที่คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสก่อนหน้าไม่แตกต่างจากไตรมาสนี้ คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในภาคกลางจะอยู่ในระดับ 68% เป็นบวกมากกว่าภูมิภาคอื่น รองลงมาเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับ 67% ส่วนกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับ 58% คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวเป็นบวกน้อยกว่าภูมิภาคอื่น โดยธุรกิจที่พักแรมอยู่ในระดับ 59% และสถานบันเทิง อยู่ในระดับ 59% คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวเป็นบวกน้อยกว่าธุรกิจประเภทอื่น
.
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2568 มีสถานประกอบการเปิดให้บริการปกติ 94% ลดลงจากไตรมาส 1/2568 และมีสัดส่วนสถานประกอบการที่ปิดตัวชั่วคราว 3% ปิดถาวร 2% และลดขนาดธุรกิจ 1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2568 โดยสถานบันเทิงมีสัดส่วนของสถานประกอบการหยุดบริการมากสุด 13% รองลงมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น 9% ร้านขายของฝาก/ของที่ระลึก 5% ร้านอาหาร 4% ส่วนแนวโน้มสถานประกอบการไตรมาส 3/2568 คาดว่าสถานประกอบการเป็นอย่างต่ำ 1% ที่มีแผนลดจำนวนพนักงานในไตรมาส 2/2568 และมีสถานประกอบการอย่างต่ำ 2% ที่มีแผนขึ้นราคาสินค้าและบริการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่