ปี 2025 นอกจากจะมีการ Comeback ของแฟรนไชส์ Superhero ระดับแถวหน้าของวงการอย่าง Superman และ Fantastic Four รวมทั้งการ Comeback ของหนังเขย่าขวัญขวัญจากยุค 90 ทั้ง Final Destination และ I Know What You Did Last Summer ยังมีภาพยนตร์อีกแนวหนึ่งที่กำลังจะเริ่มต้น Comeback กลับมาด้วยเช่นกันนั่นก็คือหนังตลกล้อเลียนแนว Parody ประเดิมด้วยการส่งตัวพ่อของ Genre อย่างปืนเปลือยหรือ The Naked Gun กลับมาลงจอเป็นภาคที่ 4 นำแสดงโดย Liam Neeson ที่จะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง

The Naked Gun หรือเป็นที่รู้จักกันในบ้านเราในชื่อของ “ปืนเปลือย” เป็นหนังตลกล้อเลียนที่เต็มไปด้วยตลกมุกควายๆแต่ฮาโคตรๆที่คนยุค 80-90 รู้จักกันดี โดย The Naked Gun นั้นแตกต่างจากหนัง Parody เรื่องอื่นๆอย่าง Airplane!, Spaceballs, Hot Shot! หรือ Scary Movie เพราะ The Naked Gun ไม่ใช่หนังล้อเลียนหนังเรื่องอื่นๆโดยเฉพาะเจาะจงเหมือนที่ Airplane! ล้อเลียน Airport, Spaceballs ล้อเลียน Star Wars, Hot Shot! ล้อเลียน Top Gun และ Scary Movie ล้อเลียน Scream, I Know What You Did Last Summer เป็นหลัก แต่ The Naked Gun วางตัวเองเป็น Crime Action Comedy ไม่ได้เจาะจงล้อเลียนหนังเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะแต่เต็มไปมุกฝืดๆฮาๆในสไตล์เดียวกับหนัง Parody อาจจะมีใกล้เคียงกันในนวนี้ก็คือ Top Secret! แต่ The Naked Gun เหนือชั้นกว่าด้วยการเพิ่มปมการสืบสวนสอบสวนแบบตลกๆฮาๆเข้าไปด้วย ทำให้ดูสนุกน่าติดตามกว่า Action Comedy เพียวๆอย่าง Top Secret! มากๆ
Police Squad! ต้นกำเนิดปืนเปลือย (1982)
สามบิดาแห่งวงการหนัง Parody คือ David Zucker, Jerry Zucker สองพี่น้องและ Jim Abrahams (รวมเรียกกันว่า ZAZ) เปิดตัวผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในวงการด้วยการร่วมกันกำกับ Airplane! ที่ฮิตติดตลาดในปี 1980 ทำเงินไปถึง 171 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 3.5 ล้านเหรียญซึ่งนับว่ากำไรมหาศาลมากในสมัยนั้น ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก Airplane! ทาง ZAZ ก็อยากจะทำหนังในสไตล์ Parody อีกโดยใช้ M Squad ซึ่งเป็น Series แนวสืบสวนสอบสวนจากยุค 50 มาล้อเลียน แต่หลังจากพัฒนาบทมาซักระยะ Michael Eisner ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นประธานของ Paramount อยู่เห็นว่าโครงการนี้ไม่เข้าตาซักเท่าไหร่จึงส่งสัญญาณให้เปลี่ยนจากการทำเป็นภาพยนตร์ให้ไปลงฉายทางจอทีวีแทน โดย Police Squad! ได้รับไฟเขียวให้สร้างทั้งหมด 6 Episode ด้วยกัน
ตัวละครใน Police Squad ทั้ง Frank Drebin นักสืบหัวเห็ดตัวนำของเรื่องรับบทโดย Leslie Nielsen, Ed Hocken หัวหน้าสุดทึ่มของ Frank ที่รับบทโดย Alan North, Norberg ลูกน้องดวงจู๋ของ Frank ที่รับบทโดย Peter Lupus, Ted นักวิทย์สติเฟื่องผู้คิดค้นเครื่องมือช่วย Frank ปฏิบัติกวนรับบทโดย Ed Williams และ Al นักสืบร่างโย่งที่ไม่เคยโผล่หน้าเข้าเฟรมได้เลยรับบทโดย Tiny Ron ทั้งหมดนี่เองก็ก้าวไปเป็นตัวละครหลักใน The Naked Gun ฉบับภาพยนตร์ในภายหลัง
หลังจากออกฉายทางสถานี ABC ในเดือนมีนาคม 1982 ไปได้เพียง 4 EP ทางสถานีก็ตัดสินใจ Cancel Series ชุดนี้ และโยกอีก 2 EP ที่เหลือไปฉายในช่วง Summer แทนรายการรีรันอื่นๆ ซึ่ง Leslie Nielsen ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่าผู้ชมจำเป้นที่จะต้องตั้งใจดู Police Squad! อย่างมากเพื่อที่จะได้เข้าใจมุกตลกต่างๆที่หลายครั้งเป็นวัตถุหรือภาพเล็กๆบนจอทีวีที่สมัยนั้นยังมีขนาดเล็ก (14”) ต่างจากการดู The Naked Gun บนจอภาพยนตร์ที่ใหญ่กว่ามากและทำให้ผู้ชมเข้าใจรายละเอียดได้มากขึ้น
รายชื่อของทั้ง 6 Episode ของ Police Squad! มีดังนี้
1. A Substantial Gift (The Broken Promise)
2. Ring of Fear (A Dangerous Assignment)
3. Rendezvous at Big Gulch (Terror in the Neighborhood)
4. Revenge and Remorse (The Guilty Alibi)
5. The Butler Did It (A Bird in the Hand)
6. Testimony of Evil (Dead Men Don't Laugh)
The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988)
หลังจาก Police Squad! โดน ABC ถอดออกจากโปรแกรมไปอย่างน่าเสียดาย ZAZ ก็ครุ่นคิดถึงการนำ Frank Drebin และพรรคพวกกลับมาอีกครั้งอยู่ตลอด เพราะพวกเค้าเชื่อว่าตัวละครและโครงเรื่องนี้มีศักยภาพที่ไปได้ไกลกว่าหนัง Parody เรื่องอื่นๆ หลังจากที่ ZAZ ล้มเหลวจาก Top Secret! และกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งกับ Ruthless People ซึ่งเป็นแนว Black Comedy แต่พวกเค้าก็ยังอยากกลับมาทำหนังในสไตล์ที่พวกเค้าชื่นชอบและถนัดอีก โดย ZAZ ยังคงพัฒนาบทจากโครงเรื่องของ Police Squad! ต่อพร้อมกับเพิ่มความ Romantic เข้าไปจนกลายเป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ ทาง Paramount จึงเปิดไฟเขียวให้สร้างได้ทันที โดย The Naked Gun: From the Files of Police Squad! นี้ก็ยังได้ Leslie Nielsen กลับมารับบทนำ Frank Drebin เหมือนเดิม ร่วมด้วย Ed Williams ในบท Ted และ Tiny Ron ในบท Al แต่ฉบับภาพยนตร์นี้มีการเปลี่ยนให้ George Kennedy มารับบท Ed Hocken และ O.J. Simpson มารับบท Nordberg แทนดาราเดิมจากฉบับทีวี พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจาก Norberg เป็น Nordberg พร้อมด้วย Pricilla Presley ม่ายสาวของ Elvis Presley มารับบท Jane นางเอกของเรื่อง และครั้งนี้ David Zucker รับบทผู้กำกับเดี่ยวและเขียนบท โดยมี Jerry Zucker และ Jim Abrahams ร่วมเขียนบทด้วย

จากเคมีที่เข้ากันและตลกหน้าตายที่สมบทบาทของนักแสดงทุกคนส่งผลให้ The Naked Gun โด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก ไม่ว่าใครๆในยุคนั้นต่างก็รู้จักปืนเปลือยหนังสุดฮาแห่งยุคที่ไม่ใช่แค่ตลกล้อเลียนเรื่องอื่นๆ แต่ยังมีพล็อตเรื่องเป็นของตัวเอง และมีเรื่องราวของการสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้นอีกด้วย ทำให้ The Naked Gun ภาคแรกทำเงินในบ้าน 78.8 ต่างประเทศ 73.7 ทั่วโลก 152.5 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเท่านั้น นอกจากนี้ยังกลายเป้นหนังตลกล้อเลียนขวัญใจนักวิจารณ์ได้เกรด CinemaScore = A- ซึ่งนับว่าสูงมากๆสำหรับหนังตลก (เทียบได้กับ A+ สำหรับหนัง Blockbuster) และได้คะแนนจาก Roger Ebert นักวิจารณ์หนังชื่อดังในยุคนั้นถึง 3.5 ดาว (จากคะแนนเต็ม 4) และในปี 2016 ได้รับเลือกจากนิตยสาร Empire ให้เป็นหนังตลกที่สุดอันดับที่ 7 เท่าที่เคยสร้างมา
The Naked Gun 2½: The Smell of Fear (1991)
จากความสำเร็จอันล้นหลามของ The Naked Gun ภาคแรกจึงไม่แปลกที่ทาง Paramount จะไฟเขียวใหสร้างภาค 2 อย่างง่ายดาย โดยบรรดาทีมงานดาราทั้งหมดต่างก็พร้อมใจกันกลับมารับบทเดิม สิ่งที่แตกต่างออกไปคือคราวนี้ David Zucker ไม่มีน้องชาย Jerry Zucker และ Jim Abrahams กลับมาช่วยเขียนบทอีกแล้ว เพราะทั้งคู่ต่างก็แกยย้ายไปทำหนังของตัวเอง (ที่ฮิตติดตลาดเหมือนกัน) โดย Jerry Zucker ไปกำกับ Ghost ภาพยนตร์รักเหนือธรรมชาติสุดฮิตแห่งยุคสมัย ส่วน Jim Abrahams ก็แยกไปกำกับ Hot Shot! ภาพยนตร์ Parody ยอดนิยมอีกเรื่องหนึ่งของปีที่ออกฉายหลังปืนเปลือยภาค 2 แค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่ทั้ง Jerry Zucker และ Jim Abrahams ก็ยังรับหน้าที่เป็น Executive Producer ให้กับหนังอยู่
แม้ว่า The Naked Gun 2½: The Smell of Fear จะทำเงินในบ้าน 86.9 ล้าน ต่างประเทศ 105 ล้าน รวมทั่วโลกทำเงินไปถึง 191.9 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 23 ล้าน แต่ดูเหมือนว่าทั้งคนดูและนักวิจารณ์จะไม่ค่อยประทับใจภาค 2 ของปืนเปลือยเท่าภาคแรก เกรด CinemaScore ตกลงมาที่ B+
Naked Gun 33 1/3: The Final Insult (1994)
แม่ว่าปืนเปลือยภาค 2 จะไม่ได้รับเสีงชื่นชมมากเหมือนภาคแรก แต่ด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็ไม่แลกที่ทาง Paramount จะอนุมัติโครงการภาค 3 ต่อทันที โดย Naked Gun 33 1/3: The Final Insult เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในหนังชุดนี้ที่ไม่ได้กำกับโดย David Zucker แต่เป็น Peter Segal ที่ได้รับโอกาสให้กำกับภาพยนตร์เป็นเรื่องแรก ภายใต้การเขียนบทของ David Zucker และทีมงาน และอำนวยการสร้างโดย ZAZ เช่นเดิม ทั้งนี้ปืนเปลือยภาค 3 ได้รับคะแนนวิจารณ์ในระดับเดียวกับภาค 2 ได้เกรด CinemaScore = B+ และทำเงินในบ้าน 51.1 ล้าน นอกบ้าน 81 ล้าน รวม 132.1 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 30 ล้าน
ถึงแม้ว่า Naked Gun 33 1/3: The Final Insult จะยังทำกำไร แต่รายได้ลดลงจากภาค 2 ถึง 1/3 ประกอบกับการที่หนังตลกล้อเลียนเริ่มเสื่อมความนิยมลง อายุที่เพิ่มขึ้นของ ZAZ ทำให้ Naked Gun 33 1/3: The Final Insult กลายเป็นภาคสุดท้ายของปืนเปลือยนับแต่นั้นเป็นต้นมา
The Naked Gun ปืนเปลือย 2025!! การกลับมาอีกครั้งของหนังตลกมุกฟายๆ แต่ฮาโคตรๆ
The Naked Gun หรือเป็นที่รู้จักกันในบ้านเราในชื่อของ “ปืนเปลือย” เป็นหนังตลกล้อเลียนที่เต็มไปด้วยตลกมุกควายๆแต่ฮาโคตรๆที่คนยุค 80-90 รู้จักกันดี โดย The Naked Gun นั้นแตกต่างจากหนัง Parody เรื่องอื่นๆอย่าง Airplane!, Spaceballs, Hot Shot! หรือ Scary Movie เพราะ The Naked Gun ไม่ใช่หนังล้อเลียนหนังเรื่องอื่นๆโดยเฉพาะเจาะจงเหมือนที่ Airplane! ล้อเลียน Airport, Spaceballs ล้อเลียน Star Wars, Hot Shot! ล้อเลียน Top Gun และ Scary Movie ล้อเลียน Scream, I Know What You Did Last Summer เป็นหลัก แต่ The Naked Gun วางตัวเองเป็น Crime Action Comedy ไม่ได้เจาะจงล้อเลียนหนังเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะแต่เต็มไปมุกฝืดๆฮาๆในสไตล์เดียวกับหนัง Parody อาจจะมีใกล้เคียงกันในนวนี้ก็คือ Top Secret! แต่ The Naked Gun เหนือชั้นกว่าด้วยการเพิ่มปมการสืบสวนสอบสวนแบบตลกๆฮาๆเข้าไปด้วย ทำให้ดูสนุกน่าติดตามกว่า Action Comedy เพียวๆอย่าง Top Secret! มากๆ
Police Squad! ต้นกำเนิดปืนเปลือย (1982)
สามบิดาแห่งวงการหนัง Parody คือ David Zucker, Jerry Zucker สองพี่น้องและ Jim Abrahams (รวมเรียกกันว่า ZAZ) เปิดตัวผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในวงการด้วยการร่วมกันกำกับ Airplane! ที่ฮิตติดตลาดในปี 1980 ทำเงินไปถึง 171 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 3.5 ล้านเหรียญซึ่งนับว่ากำไรมหาศาลมากในสมัยนั้น ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก Airplane! ทาง ZAZ ก็อยากจะทำหนังในสไตล์ Parody อีกโดยใช้ M Squad ซึ่งเป็น Series แนวสืบสวนสอบสวนจากยุค 50 มาล้อเลียน แต่หลังจากพัฒนาบทมาซักระยะ Michael Eisner ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นประธานของ Paramount อยู่เห็นว่าโครงการนี้ไม่เข้าตาซักเท่าไหร่จึงส่งสัญญาณให้เปลี่ยนจากการทำเป็นภาพยนตร์ให้ไปลงฉายทางจอทีวีแทน โดย Police Squad! ได้รับไฟเขียวให้สร้างทั้งหมด 6 Episode ด้วยกัน
ตัวละครใน Police Squad ทั้ง Frank Drebin นักสืบหัวเห็ดตัวนำของเรื่องรับบทโดย Leslie Nielsen, Ed Hocken หัวหน้าสุดทึ่มของ Frank ที่รับบทโดย Alan North, Norberg ลูกน้องดวงจู๋ของ Frank ที่รับบทโดย Peter Lupus, Ted นักวิทย์สติเฟื่องผู้คิดค้นเครื่องมือช่วย Frank ปฏิบัติกวนรับบทโดย Ed Williams และ Al นักสืบร่างโย่งที่ไม่เคยโผล่หน้าเข้าเฟรมได้เลยรับบทโดย Tiny Ron ทั้งหมดนี่เองก็ก้าวไปเป็นตัวละครหลักใน The Naked Gun ฉบับภาพยนตร์ในภายหลัง
หลังจากออกฉายทางสถานี ABC ในเดือนมีนาคม 1982 ไปได้เพียง 4 EP ทางสถานีก็ตัดสินใจ Cancel Series ชุดนี้ และโยกอีก 2 EP ที่เหลือไปฉายในช่วง Summer แทนรายการรีรันอื่นๆ ซึ่ง Leslie Nielsen ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่าผู้ชมจำเป้นที่จะต้องตั้งใจดู Police Squad! อย่างมากเพื่อที่จะได้เข้าใจมุกตลกต่างๆที่หลายครั้งเป็นวัตถุหรือภาพเล็กๆบนจอทีวีที่สมัยนั้นยังมีขนาดเล็ก (14”) ต่างจากการดู The Naked Gun บนจอภาพยนตร์ที่ใหญ่กว่ามากและทำให้ผู้ชมเข้าใจรายละเอียดได้มากขึ้น
รายชื่อของทั้ง 6 Episode ของ Police Squad! มีดังนี้
1. A Substantial Gift (The Broken Promise)
2. Ring of Fear (A Dangerous Assignment)
3. Rendezvous at Big Gulch (Terror in the Neighborhood)
4. Revenge and Remorse (The Guilty Alibi)
5. The Butler Did It (A Bird in the Hand)
6. Testimony of Evil (Dead Men Don't Laugh)
The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988)
หลังจาก Police Squad! โดน ABC ถอดออกจากโปรแกรมไปอย่างน่าเสียดาย ZAZ ก็ครุ่นคิดถึงการนำ Frank Drebin และพรรคพวกกลับมาอีกครั้งอยู่ตลอด เพราะพวกเค้าเชื่อว่าตัวละครและโครงเรื่องนี้มีศักยภาพที่ไปได้ไกลกว่าหนัง Parody เรื่องอื่นๆ หลังจากที่ ZAZ ล้มเหลวจาก Top Secret! และกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งกับ Ruthless People ซึ่งเป็นแนว Black Comedy แต่พวกเค้าก็ยังอยากกลับมาทำหนังในสไตล์ที่พวกเค้าชื่นชอบและถนัดอีก โดย ZAZ ยังคงพัฒนาบทจากโครงเรื่องของ Police Squad! ต่อพร้อมกับเพิ่มความ Romantic เข้าไปจนกลายเป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ ทาง Paramount จึงเปิดไฟเขียวให้สร้างได้ทันที โดย The Naked Gun: From the Files of Police Squad! นี้ก็ยังได้ Leslie Nielsen กลับมารับบทนำ Frank Drebin เหมือนเดิม ร่วมด้วย Ed Williams ในบท Ted และ Tiny Ron ในบท Al แต่ฉบับภาพยนตร์นี้มีการเปลี่ยนให้ George Kennedy มารับบท Ed Hocken และ O.J. Simpson มารับบท Nordberg แทนดาราเดิมจากฉบับทีวี พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจาก Norberg เป็น Nordberg พร้อมด้วย Pricilla Presley ม่ายสาวของ Elvis Presley มารับบท Jane นางเอกของเรื่อง และครั้งนี้ David Zucker รับบทผู้กำกับเดี่ยวและเขียนบท โดยมี Jerry Zucker และ Jim Abrahams ร่วมเขียนบทด้วย
จากเคมีที่เข้ากันและตลกหน้าตายที่สมบทบาทของนักแสดงทุกคนส่งผลให้ The Naked Gun โด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก ไม่ว่าใครๆในยุคนั้นต่างก็รู้จักปืนเปลือยหนังสุดฮาแห่งยุคที่ไม่ใช่แค่ตลกล้อเลียนเรื่องอื่นๆ แต่ยังมีพล็อตเรื่องเป็นของตัวเอง และมีเรื่องราวของการสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้นอีกด้วย ทำให้ The Naked Gun ภาคแรกทำเงินในบ้าน 78.8 ต่างประเทศ 73.7 ทั่วโลก 152.5 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเท่านั้น นอกจากนี้ยังกลายเป้นหนังตลกล้อเลียนขวัญใจนักวิจารณ์ได้เกรด CinemaScore = A- ซึ่งนับว่าสูงมากๆสำหรับหนังตลก (เทียบได้กับ A+ สำหรับหนัง Blockbuster) และได้คะแนนจาก Roger Ebert นักวิจารณ์หนังชื่อดังในยุคนั้นถึง 3.5 ดาว (จากคะแนนเต็ม 4) และในปี 2016 ได้รับเลือกจากนิตยสาร Empire ให้เป็นหนังตลกที่สุดอันดับที่ 7 เท่าที่เคยสร้างมา
The Naked Gun 2½: The Smell of Fear (1991)
จากความสำเร็จอันล้นหลามของ The Naked Gun ภาคแรกจึงไม่แปลกที่ทาง Paramount จะไฟเขียวใหสร้างภาค 2 อย่างง่ายดาย โดยบรรดาทีมงานดาราทั้งหมดต่างก็พร้อมใจกันกลับมารับบทเดิม สิ่งที่แตกต่างออกไปคือคราวนี้ David Zucker ไม่มีน้องชาย Jerry Zucker และ Jim Abrahams กลับมาช่วยเขียนบทอีกแล้ว เพราะทั้งคู่ต่างก็แกยย้ายไปทำหนังของตัวเอง (ที่ฮิตติดตลาดเหมือนกัน) โดย Jerry Zucker ไปกำกับ Ghost ภาพยนตร์รักเหนือธรรมชาติสุดฮิตแห่งยุคสมัย ส่วน Jim Abrahams ก็แยกไปกำกับ Hot Shot! ภาพยนตร์ Parody ยอดนิยมอีกเรื่องหนึ่งของปีที่ออกฉายหลังปืนเปลือยภาค 2 แค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่ทั้ง Jerry Zucker และ Jim Abrahams ก็ยังรับหน้าที่เป็น Executive Producer ให้กับหนังอยู่
แม้ว่า The Naked Gun 2½: The Smell of Fear จะทำเงินในบ้าน 86.9 ล้าน ต่างประเทศ 105 ล้าน รวมทั่วโลกทำเงินไปถึง 191.9 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 23 ล้าน แต่ดูเหมือนว่าทั้งคนดูและนักวิจารณ์จะไม่ค่อยประทับใจภาค 2 ของปืนเปลือยเท่าภาคแรก เกรด CinemaScore ตกลงมาที่ B+
Naked Gun 33 1/3: The Final Insult (1994)
แม่ว่าปืนเปลือยภาค 2 จะไม่ได้รับเสีงชื่นชมมากเหมือนภาคแรก แต่ด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็ไม่แลกที่ทาง Paramount จะอนุมัติโครงการภาค 3 ต่อทันที โดย Naked Gun 33 1/3: The Final Insult เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในหนังชุดนี้ที่ไม่ได้กำกับโดย David Zucker แต่เป็น Peter Segal ที่ได้รับโอกาสให้กำกับภาพยนตร์เป็นเรื่องแรก ภายใต้การเขียนบทของ David Zucker และทีมงาน และอำนวยการสร้างโดย ZAZ เช่นเดิม ทั้งนี้ปืนเปลือยภาค 3 ได้รับคะแนนวิจารณ์ในระดับเดียวกับภาค 2 ได้เกรด CinemaScore = B+ และทำเงินในบ้าน 51.1 ล้าน นอกบ้าน 81 ล้าน รวม 132.1 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 30 ล้าน
ถึงแม้ว่า Naked Gun 33 1/3: The Final Insult จะยังทำกำไร แต่รายได้ลดลงจากภาค 2 ถึง 1/3 ประกอบกับการที่หนังตลกล้อเลียนเริ่มเสื่อมความนิยมลง อายุที่เพิ่มขึ้นของ ZAZ ทำให้ Naked Gun 33 1/3: The Final Insult กลายเป็นภาคสุดท้ายของปืนเปลือยนับแต่นั้นเป็นต้นมา