หลายคนมองว่าเทรดเดอร์หรือนักลงทุนระดับโลกต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการเฝ้ากราฟ วิเคราะห์ตัวเลข หรือมองหาหุ้นดี ๆ ลงทุน แต่ในความเป็นจริง เบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขาเหล่านี้ กลับเต็มไปด้วย “งานอดิเรก” ที่สะท้อนวิธีคิด การวางแผน และวิถีชีวิตอย่างมีสมดุล
และในบทความนี้ มาดูกันว่าคนเก่งระดับโลก เขามีไลฟ์สไตล์แบบไหนบ้างนอกจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
1. Paul Tudor Jones – ตกปลาเพื่อฝึกจิต เทรดเดอร์ที่เข้าใจจังหวะธรรมชาติ
Paul Tudor Jones (พอล ทูดอร์ โจนส์) คือหนึ่งในเทรดเดอร์ระดับตำนานของโลก เขาคือผู้ก่อตั้งกองทุน Tudor Investment ที่เคยสร้างชื่อในช่วงวิกฤตตลาดหุ้นปี 1987 ด้วยการเปิด short อย่างแม่นยำ จนทำกำไรได้มหาศาลในขณะที่หลายคนขาดทุนย่อยยับ
เบื้องหลังความสำเร็จของเขาไม่ใช่แค่ทักษะในการวิเคราะห์กราฟ หรือความสามารถในการจับเทรนด์เศรษฐกิจโลก แต่ยังรวมไปถึง “วินัย” และ “จิตใจที่นิ่ง” ซึ่งเขาได้ฝึกฝนผ่าน งานอดิเรกที่ดูเรียบง่ายแต่มากด้วยปรัชญา — การตกปลาทะเลน้ำลึก
พอลเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาหลงรักการตกปลา เพราะมันช่วย “ฝึกจิตให้ช้าลง” ในโลกที่เทรดเดอร์ต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที การได้ออกทะเล ปิดมือถือ แล้วเฝ้ารอดูเบ็ดเบา ๆ ขยับ ช่วยให้เขากลับมามีสมาธิ เข้าใจจังหวะของชีวิต และ เรียนรู้การรออย่างมีเป้าหมาย
“การตกปลาเหมือนการเทรด คุณไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ปลาจะมากินเหยื่อ แต่ถ้าคุณเข้าใจสภาพแวดล้อม เลือกอุปกรณ์ให้เหมาะ และรออย่างอดทน ผลลัพธ์ก็มักจะมาเสมอ”
การตกปลาไม่ใช่แค่เรื่องของโชค แต่ต้องมีการวางแผน เลือกเหยื่อให้เหมาะกับสายพันธุ์ปลา รู้จักวิเคราะห์กระแสน้ำ ทิศทางลม และสภาพอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้เปรียบได้กับการอ่านตลาด วิเคราะห์ข่าว และปรับกลยุทธ์ในการเทรด
ที่สำคัญ การตกปลาช่วยให้พอลฝึก "การไม่รีบร้อน" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน เพราะเขารู้ดีว่า ความใจร้อนคือศัตรูของเทรดเดอร์
บทเรียนจาก Paul Tudor Jones:
ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดการเงินหรือกลางมหาสมุทร ผู้ชนะไม่ใช่คนที่เร็วที่สุด... แต่คือคนที่ อ่านสถานการณ์แม่นที่สุด และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรลงมือ
และบางครั้ง... การวางเบ็ดแล้วรอ ก็อาจทำให้คุณ “ได้ปลาใหญ่” มากกว่าการวิ่งไล่จับตลอดเวลา
2.Ray Dalio – ดนตรีแจ๊สกับการเทรดที่ไร้สูตรสำเร็จ
Ray Dalio (เรย์ ดาลิโอ) คือหนึ่งในนักลงทุนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่บริหารสินทรัพย์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหลักการ “Principles” อันโด่งดัง
แม้ภาพจำของเขาในสายตาหลายคนจะเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ หรือผู้นำที่เคร่งขรึม แต่จริง ๆ แล้วงานอดิเรกของเขากลับเต็มไปด้วย "ความอิสระ" และ "ความไหลลื่น" อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ การเล่นดนตรีแจ๊ส
เรย์เคยกล่าวไว้ว่า
"แจ๊สก็เหมือนตลาดการเงิน ไม่มีโน้ตตายตัว คุณต้องฟัง ต้องปรับ ต้องรู้จังหวะ และต้องเล่นร่วมกับคนอื่นอย่างกลมกลืน"
ประโยคนี้สะท้อนโลกทัศน์ของเขาได้อย่างลึกซึ้ง — เพราะในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีสูตรใดใช้ได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับแจ๊สที่นักดนตรีต้องใช้หูฟังจังหวะ คอยปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์เพลงและนักดนตรีคนอื่นในวง ดนตรีชนิดนี้ไม่ใช่แค่การเล่นตามโน้ต แต่เป็นการ “คิดแบบสด ๆ” ที่ต้องใช้สัญชาตญาณผสมผสานกับประสบการณ์ ซึ่งเป็นทักษะเดียวกับการเทรดในตลาดที่ผันผวน
เรย์มองว่า “ความยืดหยุ่น” และ “ความคิดสร้างสรรค์ภายใต้กรอบวินัย” คือหัวใจของทั้งการเทรดและการเล่นดนตรี เขาเชื่อว่าการฝึกดนตรีแจ๊สช่วยให้สมองเปิดกว้าง มี flow ของการคิด และเข้าใจจังหวะของ “ความไม่แน่นอน” ได้ดียิ่งขึ้น
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและเสียงรบกวน การมีเวลาสำหรับ "เสียงที่เรียงตัวอย่างเป็นอิสระ" อย่างแจ๊ส จึงเปรียบเหมือนการจัดระเบียบความคิดให้สมดุล และทำให้เขากลับมาสู่ตลาดด้วยมุมมองใหม่ที่เฉียบคมกว่าเดิม
บทเรียนจาก Ray Dalio:
หากคุณต้องการเป็นเทรดเดอร์ที่ยั่งยืน อย่าหยุดอยู่แค่การเรียนรู้ตัวเลขหรือเทคนิคการวิเคราะห์ แต่จงเปิดพื้นที่ให้กับ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ความยืดหยุ่น” เพราะตลาดไม่เคยนิ่ง และสูตรสำเร็จไม่มีอยู่จริง
บางที... เสียงดนตรีที่กลมกล่อม อาจเป็นคำตอบที่คุณมองข้ามมาตลอด
3.Jeff Bezos – ออกเดินทางสู่ธรรมชาติ เพื่อค้นหาไอเดียที่ยิ่งใหญ่กว่า
Jeff Bezos (เจฟฟ์ เบซอส) ไม่ได้เป็นแค่ผู้ก่อตั้ง Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซที่พลิกโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคม เขาเป็นคนที่มองไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอวกาศอย่าง Blue Origin หรือการลงทุนในสื่อ หนังสือพิมพ์ และเทคโนโลยีอนาคต
ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความกดดัน ความเร่งรีบ และเสียงรบกวนรอบตัว เบซอสเลือก “ธรรมชาติ” เป็นที่หลบมุม เขาชอบการ ปั่นจักรยานทางไกล และ ปีนเขา ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมประจำที่ช่วยให้เขารีเซ็ตความคิด
เขาเชื่อว่า การออกจากห้องประชุม ออกจากหน้าจอ แล้วไปอยู่กับต้นไม้ ลมเย็น และเส้นทางที่ไม่แน่นอน เป็นเหมือนการสร้าง “พื้นที่ว่าง” ให้กับสมอง เพราะในความเงียบสงบเหล่านั้นเอง ไอเดียที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ มักเกิดขึ้น
“บางครั้งเราต้องหยุด เพื่อก้าวกระโดดให้ไกลขึ้น”
การปั่นจักรยานหรือปีนเขาไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่คือ กระบวนการฝึกความมีวินัย ความอดทน และการเอาชนะความยากลำบาก — คุณต้องเผชิญกับทางชัน ฝนตก เหงื่อไหล หรือแรงหมด แต่ทุกครั้งที่ถึงยอดเขาหรือจุดหมาย ความรู้สึกของการ “เอาชนะตัวเอง” จะเติมพลังอย่างมหาศาล
และนั่นคือสิ่งที่เบซอสนำกลับมาใช้ในโลกของธุรกิจและการลงทุน — การสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของ “การเดินทางที่ยาวไกล” และการไม่ยอมแพ้แม้เส้นทางจะชัน
บทเรียนจาก Jeff Bezos:
ไอเดียเปลี่ยนโลกมักไม่เกิดในห้องที่มีเสียงรบกวนมากมาย แต่มักเกิดใน “ความเงียบ” และ “จังหวะที่ได้อยู่กับตัวเอง”
หากคุณรู้สึกตัน รู้สึกเหนื่อย หรือหาทางไม่เจอ ลองออกไปเดินกลางแจ้ง ปั่นจักรยาน หรือปีนเขาเหมือนเจฟฟ์ เบซอส คุณอาจค้นพบไอเดียใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่ง “ตัวตน” ของคุณที่แท้จริง
4.George Soros – นักลงทุนผู้ค้นหาความแน่นอนในความไม่แน่นอนผ่านหนังสือปรัชญาและเศรษฐกิจ
George Soros (จอร์จ โซรอส) เป็นนักลงทุนระดับตำนานที่โด่งดังจากการทำกำไรในตลาดโลก และการบริหารกองทุน Quantum Fund ด้วยความสามารถในการเข้าใจตลาดที่ซับซ้อนและไม่แน่นอน ในขณะที่หลายคนมองว่าตลาดเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา โซรอสกลับมองว่า
“ตลาดไม่มีความแน่นอน แต่ความคิดของเราสามารถแน่นอนได้”
สิ่งที่ทำให้โซรอสแตกต่าง คือ เขาไม่ได้แค่พึ่งพาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือข้อมูลเศรษฐกิจทั่วไป แต่เลือกที่จะศึกษาแนวคิดทางปรัชญา เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม เขาเชื่อว่าเบื้องหลังทุกการตัดสินใจในตลาดคือ “ความเชื่อ” และ “การรับรู้” ที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์และข้อมูลใหม่
การอ่านหนังสือปรัชญาช่วยให้โซรอสเข้าใจหลักการของความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และวิธีที่มนุษย์สร้างความหมายให้กับโลก การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้เขาสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสในตลาดได้อย่างชาญฉลาด และไม่ติดกับดักความเชื่อแบบตายตัว
ในขณะเดียวกัน โซรอสก็ศึกษาเศรษฐกิจเพื่อจับภาพรวมของระบบตลาดในระดับมหภาค ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาและสังคม ทำให้เขาสามารถมองเห็น “ช่องว่าง” ที่นักลงทุนคนอื่นมองข้าม และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น การอ่านหนังสือแนวปรัชญาและเศรษฐกิจสำหรับโซรอส ไม่ใช่แค่การเพิ่มพูนความรู้ แต่เป็นการสร้างกรอบความคิดที่มั่นคงและยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เขาเป็นนักลงทุนที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง
บทเรียนจาก George Soros:
ถ้าตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราอาจไม่สามารถควบคุมตลาดได้ แต่เราสามารถฝึกฝน “ความคิด” ของเราให้มั่นคงและปรับตัวได้อยู่เสมอ
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการศึกษาในมิติที่หลากหลาย เช่น ปรัชญาและเศรษฐกิจ จึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน
สุดท้าย นักลงทุนคงรู้จักกันดี กับนักลงทุนเบอร์หนึ่งตลอดกาล
.
.
5.Warren Buffett – นักลงทุนผู้เล่นอูคูเลเล่ เพื่อรักษาจังหวะที่มั่นคง
Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยปรัชญาการลงทุนที่เน้นความมั่นคงและมูลค่าที่แท้จริง แต่ข้างหลังความสำเร็จนี้ คือภาพของชายผู้ใช้เวลาว่างกับสิ่งที่ดูเรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือการ เล่นอูคูเลเล่ และการ อ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง
บัฟเฟตต์ อ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมงเพื่อเติมเต็มความรู้และสร้างความเข้าใจลึกซึ้งในธุรกิจต่าง ๆ เขาเคยกล่าวว่า “ความรู้สะสมวันละนิด จะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว” แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือเขายังชอบเล่นอูคูเลเล่เป็นงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายจิตใจ และปลดปล่อยความเครียด
การเล่นดนตรี โดยเฉพาะเครื่องดนตรีที่เรียบง่ายและต้องใช้ความพยายามฝึกฝนอย่างอูคูเลเล่ นอกจากจะเป็นความสนุก ยังช่วยบัฟเฟตต์ฝึกทักษะด้าน “จังหวะ” และ “ความอดทน” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
บัฟเฟตต์ เคยเล่นอูคูเลเล่โชว์ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway สร้างความประทับใจและบรรยากาศผ่อนคลาย นั่นสะท้อนว่าแม้จะเป็นคนดังระดับโลก เขาก็ยังรู้จักบาลานซ์ชีวิตระหว่างงานหนักกับความสุขง่าย ๆ
แนวคิด “จังหวะช้าแต่ชัวร์” ในการลงทุนของบัฟเฟตต์ เป็นเหมือนจังหวะเพลงที่ต้องเล่นอย่างมั่นคงและมีระเบียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ใจร้อน เหมือนกับการฝึกเล่นดนตรีที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ จนเกิดความชำนาญและประสิทธิภาพสูงสุด
บทเรียนจาก Warren Buffett:
การลงทุนไม่ใช่เรื่องรีบเร่ง แต่คือการเดินทางที่ต้องใช้เวลาและความอดทน การมีงานอดิเรกที่ช่วยให้ผ่อนคลายและฝึกจังหวะชีวิต เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรารักษาความสุขและความสำเร็จในระยะยาว
และบางที... การเล่นอูคูเลเล่ ก็อาจช่วยให้คุณ “ฟังเสียงใจ” ของตัวเองและตลาดได้ดีขึ้น
สรุป งานอดิเรกของเทรดเดอร์หรือนักลงทุนระดับโลก เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในโลกการเงิน และในโลกที่วุ่นวาย บวกกับการเปลี่ยนแปลงที่อย่างรวดเร็วนี้ หากมีงานอดิเรกหรือกิจกรรมดี ๆ ให้เราได้โฟกัสกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงจากธรรมชาติ การเล่นดนตรี หรือออกกำลังกาย ล้วนแล้วแต่ช่วยให้เรามีสามธิที่ดีขึ้น
สุดท้ายเพื่อนๆ หรือเทรดเดอร์มีงานอดิเรกอะไรดีๆ ที่ช่วยให้คลายเครียด หรือช่วยให้เทรดดีขึ้น สามารถคอมเม้นต์ แชร์ให้เพื่อนๆ ท่านๆอื่นๆ ฟังได้นะครับบบ
สงสัยไหม เทรดเดอร์ระดับโลก เขามีงานงานอดิเรกอะไรกัน?
และในบทความนี้ มาดูกันว่าคนเก่งระดับโลก เขามีไลฟ์สไตล์แบบไหนบ้างนอกจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
1. Paul Tudor Jones – ตกปลาเพื่อฝึกจิต เทรดเดอร์ที่เข้าใจจังหวะธรรมชาติ
Paul Tudor Jones (พอล ทูดอร์ โจนส์) คือหนึ่งในเทรดเดอร์ระดับตำนานของโลก เขาคือผู้ก่อตั้งกองทุน Tudor Investment ที่เคยสร้างชื่อในช่วงวิกฤตตลาดหุ้นปี 1987 ด้วยการเปิด short อย่างแม่นยำ จนทำกำไรได้มหาศาลในขณะที่หลายคนขาดทุนย่อยยับ
เบื้องหลังความสำเร็จของเขาไม่ใช่แค่ทักษะในการวิเคราะห์กราฟ หรือความสามารถในการจับเทรนด์เศรษฐกิจโลก แต่ยังรวมไปถึง “วินัย” และ “จิตใจที่นิ่ง” ซึ่งเขาได้ฝึกฝนผ่าน งานอดิเรกที่ดูเรียบง่ายแต่มากด้วยปรัชญา — การตกปลาทะเลน้ำลึก
พอลเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาหลงรักการตกปลา เพราะมันช่วย “ฝึกจิตให้ช้าลง” ในโลกที่เทรดเดอร์ต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที การได้ออกทะเล ปิดมือถือ แล้วเฝ้ารอดูเบ็ดเบา ๆ ขยับ ช่วยให้เขากลับมามีสมาธิ เข้าใจจังหวะของชีวิต และ เรียนรู้การรออย่างมีเป้าหมาย
“การตกปลาเหมือนการเทรด คุณไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ปลาจะมากินเหยื่อ แต่ถ้าคุณเข้าใจสภาพแวดล้อม เลือกอุปกรณ์ให้เหมาะ และรออย่างอดทน ผลลัพธ์ก็มักจะมาเสมอ”
การตกปลาไม่ใช่แค่เรื่องของโชค แต่ต้องมีการวางแผน เลือกเหยื่อให้เหมาะกับสายพันธุ์ปลา รู้จักวิเคราะห์กระแสน้ำ ทิศทางลม และสภาพอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้เปรียบได้กับการอ่านตลาด วิเคราะห์ข่าว และปรับกลยุทธ์ในการเทรด
ที่สำคัญ การตกปลาช่วยให้พอลฝึก "การไม่รีบร้อน" ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน เพราะเขารู้ดีว่า ความใจร้อนคือศัตรูของเทรดเดอร์
บทเรียนจาก Paul Tudor Jones:
ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดการเงินหรือกลางมหาสมุทร ผู้ชนะไม่ใช่คนที่เร็วที่สุด... แต่คือคนที่ อ่านสถานการณ์แม่นที่สุด และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรลงมือ
และบางครั้ง... การวางเบ็ดแล้วรอ ก็อาจทำให้คุณ “ได้ปลาใหญ่” มากกว่าการวิ่งไล่จับตลอดเวลา
2.Ray Dalio – ดนตรีแจ๊สกับการเทรดที่ไร้สูตรสำเร็จ
Ray Dalio (เรย์ ดาลิโอ) คือหนึ่งในนักลงทุนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่บริหารสินทรัพย์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหลักการ “Principles” อันโด่งดัง
แม้ภาพจำของเขาในสายตาหลายคนจะเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ หรือผู้นำที่เคร่งขรึม แต่จริง ๆ แล้วงานอดิเรกของเขากลับเต็มไปด้วย "ความอิสระ" และ "ความไหลลื่น" อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ การเล่นดนตรีแจ๊ส
เรย์เคยกล่าวไว้ว่า
"แจ๊สก็เหมือนตลาดการเงิน ไม่มีโน้ตตายตัว คุณต้องฟัง ต้องปรับ ต้องรู้จังหวะ และต้องเล่นร่วมกับคนอื่นอย่างกลมกลืน"
ประโยคนี้สะท้อนโลกทัศน์ของเขาได้อย่างลึกซึ้ง — เพราะในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีสูตรใดใช้ได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับแจ๊สที่นักดนตรีต้องใช้หูฟังจังหวะ คอยปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์เพลงและนักดนตรีคนอื่นในวง ดนตรีชนิดนี้ไม่ใช่แค่การเล่นตามโน้ต แต่เป็นการ “คิดแบบสด ๆ” ที่ต้องใช้สัญชาตญาณผสมผสานกับประสบการณ์ ซึ่งเป็นทักษะเดียวกับการเทรดในตลาดที่ผันผวน
เรย์มองว่า “ความยืดหยุ่น” และ “ความคิดสร้างสรรค์ภายใต้กรอบวินัย” คือหัวใจของทั้งการเทรดและการเล่นดนตรี เขาเชื่อว่าการฝึกดนตรีแจ๊สช่วยให้สมองเปิดกว้าง มี flow ของการคิด และเข้าใจจังหวะของ “ความไม่แน่นอน” ได้ดียิ่งขึ้น
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและเสียงรบกวน การมีเวลาสำหรับ "เสียงที่เรียงตัวอย่างเป็นอิสระ" อย่างแจ๊ส จึงเปรียบเหมือนการจัดระเบียบความคิดให้สมดุล และทำให้เขากลับมาสู่ตลาดด้วยมุมมองใหม่ที่เฉียบคมกว่าเดิม
บทเรียนจาก Ray Dalio:
หากคุณต้องการเป็นเทรดเดอร์ที่ยั่งยืน อย่าหยุดอยู่แค่การเรียนรู้ตัวเลขหรือเทคนิคการวิเคราะห์ แต่จงเปิดพื้นที่ให้กับ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ความยืดหยุ่น” เพราะตลาดไม่เคยนิ่ง และสูตรสำเร็จไม่มีอยู่จริง
บางที... เสียงดนตรีที่กลมกล่อม อาจเป็นคำตอบที่คุณมองข้ามมาตลอด
3.Jeff Bezos – ออกเดินทางสู่ธรรมชาติ เพื่อค้นหาไอเดียที่ยิ่งใหญ่กว่า
Jeff Bezos (เจฟฟ์ เบซอส) ไม่ได้เป็นแค่ผู้ก่อตั้ง Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซที่พลิกโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคม เขาเป็นคนที่มองไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอวกาศอย่าง Blue Origin หรือการลงทุนในสื่อ หนังสือพิมพ์ และเทคโนโลยีอนาคต
ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความกดดัน ความเร่งรีบ และเสียงรบกวนรอบตัว เบซอสเลือก “ธรรมชาติ” เป็นที่หลบมุม เขาชอบการ ปั่นจักรยานทางไกล และ ปีนเขา ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมประจำที่ช่วยให้เขารีเซ็ตความคิด
เขาเชื่อว่า การออกจากห้องประชุม ออกจากหน้าจอ แล้วไปอยู่กับต้นไม้ ลมเย็น และเส้นทางที่ไม่แน่นอน เป็นเหมือนการสร้าง “พื้นที่ว่าง” ให้กับสมอง เพราะในความเงียบสงบเหล่านั้นเอง ไอเดียที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ มักเกิดขึ้น
“บางครั้งเราต้องหยุด เพื่อก้าวกระโดดให้ไกลขึ้น”
การปั่นจักรยานหรือปีนเขาไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่คือ กระบวนการฝึกความมีวินัย ความอดทน และการเอาชนะความยากลำบาก — คุณต้องเผชิญกับทางชัน ฝนตก เหงื่อไหล หรือแรงหมด แต่ทุกครั้งที่ถึงยอดเขาหรือจุดหมาย ความรู้สึกของการ “เอาชนะตัวเอง” จะเติมพลังอย่างมหาศาล
และนั่นคือสิ่งที่เบซอสนำกลับมาใช้ในโลกของธุรกิจและการลงทุน — การสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของ “การเดินทางที่ยาวไกล” และการไม่ยอมแพ้แม้เส้นทางจะชัน
บทเรียนจาก Jeff Bezos:
ไอเดียเปลี่ยนโลกมักไม่เกิดในห้องที่มีเสียงรบกวนมากมาย แต่มักเกิดใน “ความเงียบ” และ “จังหวะที่ได้อยู่กับตัวเอง”
หากคุณรู้สึกตัน รู้สึกเหนื่อย หรือหาทางไม่เจอ ลองออกไปเดินกลางแจ้ง ปั่นจักรยาน หรือปีนเขาเหมือนเจฟฟ์ เบซอส คุณอาจค้นพบไอเดียใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่ง “ตัวตน” ของคุณที่แท้จริง
4.George Soros – นักลงทุนผู้ค้นหาความแน่นอนในความไม่แน่นอนผ่านหนังสือปรัชญาและเศรษฐกิจ
George Soros (จอร์จ โซรอส) เป็นนักลงทุนระดับตำนานที่โด่งดังจากการทำกำไรในตลาดโลก และการบริหารกองทุน Quantum Fund ด้วยความสามารถในการเข้าใจตลาดที่ซับซ้อนและไม่แน่นอน ในขณะที่หลายคนมองว่าตลาดเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา โซรอสกลับมองว่า
“ตลาดไม่มีความแน่นอน แต่ความคิดของเราสามารถแน่นอนได้”
สิ่งที่ทำให้โซรอสแตกต่าง คือ เขาไม่ได้แค่พึ่งพาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือข้อมูลเศรษฐกิจทั่วไป แต่เลือกที่จะศึกษาแนวคิดทางปรัชญา เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม เขาเชื่อว่าเบื้องหลังทุกการตัดสินใจในตลาดคือ “ความเชื่อ” และ “การรับรู้” ที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์และข้อมูลใหม่
การอ่านหนังสือปรัชญาช่วยให้โซรอสเข้าใจหลักการของความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และวิธีที่มนุษย์สร้างความหมายให้กับโลก การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้เขาสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสในตลาดได้อย่างชาญฉลาด และไม่ติดกับดักความเชื่อแบบตายตัว
ในขณะเดียวกัน โซรอสก็ศึกษาเศรษฐกิจเพื่อจับภาพรวมของระบบตลาดในระดับมหภาค ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาและสังคม ทำให้เขาสามารถมองเห็น “ช่องว่าง” ที่นักลงทุนคนอื่นมองข้าม และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น การอ่านหนังสือแนวปรัชญาและเศรษฐกิจสำหรับโซรอส ไม่ใช่แค่การเพิ่มพูนความรู้ แต่เป็นการสร้างกรอบความคิดที่มั่นคงและยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เขาเป็นนักลงทุนที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง
บทเรียนจาก George Soros:
ถ้าตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราอาจไม่สามารถควบคุมตลาดได้ แต่เราสามารถฝึกฝน “ความคิด” ของเราให้มั่นคงและปรับตัวได้อยู่เสมอ
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการศึกษาในมิติที่หลากหลาย เช่น ปรัชญาและเศรษฐกิจ จึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน
สุดท้าย นักลงทุนคงรู้จักกันดี กับนักลงทุนเบอร์หนึ่งตลอดกาล
.
.
5.Warren Buffett – นักลงทุนผู้เล่นอูคูเลเล่ เพื่อรักษาจังหวะที่มั่นคง
Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยปรัชญาการลงทุนที่เน้นความมั่นคงและมูลค่าที่แท้จริง แต่ข้างหลังความสำเร็จนี้ คือภาพของชายผู้ใช้เวลาว่างกับสิ่งที่ดูเรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือการ เล่นอูคูเลเล่ และการ อ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง
บัฟเฟตต์ อ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมงเพื่อเติมเต็มความรู้และสร้างความเข้าใจลึกซึ้งในธุรกิจต่าง ๆ เขาเคยกล่าวว่า “ความรู้สะสมวันละนิด จะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว” แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือเขายังชอบเล่นอูคูเลเล่เป็นงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายจิตใจ และปลดปล่อยความเครียด
การเล่นดนตรี โดยเฉพาะเครื่องดนตรีที่เรียบง่ายและต้องใช้ความพยายามฝึกฝนอย่างอูคูเลเล่ นอกจากจะเป็นความสนุก ยังช่วยบัฟเฟตต์ฝึกทักษะด้าน “จังหวะ” และ “ความอดทน” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
บัฟเฟตต์ เคยเล่นอูคูเลเล่โชว์ในงานประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway สร้างความประทับใจและบรรยากาศผ่อนคลาย นั่นสะท้อนว่าแม้จะเป็นคนดังระดับโลก เขาก็ยังรู้จักบาลานซ์ชีวิตระหว่างงานหนักกับความสุขง่าย ๆ
แนวคิด “จังหวะช้าแต่ชัวร์” ในการลงทุนของบัฟเฟตต์ เป็นเหมือนจังหวะเพลงที่ต้องเล่นอย่างมั่นคงและมีระเบียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ใจร้อน เหมือนกับการฝึกเล่นดนตรีที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ จนเกิดความชำนาญและประสิทธิภาพสูงสุด
บทเรียนจาก Warren Buffett:
การลงทุนไม่ใช่เรื่องรีบเร่ง แต่คือการเดินทางที่ต้องใช้เวลาและความอดทน การมีงานอดิเรกที่ช่วยให้ผ่อนคลายและฝึกจังหวะชีวิต เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรารักษาความสุขและความสำเร็จในระยะยาว
และบางที... การเล่นอูคูเลเล่ ก็อาจช่วยให้คุณ “ฟังเสียงใจ” ของตัวเองและตลาดได้ดีขึ้น
สรุป งานอดิเรกของเทรดเดอร์หรือนักลงทุนระดับโลก เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในโลกการเงิน และในโลกที่วุ่นวาย บวกกับการเปลี่ยนแปลงที่อย่างรวดเร็วนี้ หากมีงานอดิเรกหรือกิจกรรมดี ๆ ให้เราได้โฟกัสกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงจากธรรมชาติ การเล่นดนตรี หรือออกกำลังกาย ล้วนแล้วแต่ช่วยให้เรามีสามธิที่ดีขึ้น
สุดท้ายเพื่อนๆ หรือเทรดเดอร์มีงานอดิเรกอะไรดีๆ ที่ช่วยให้คลายเครียด หรือช่วยให้เทรดดีขึ้น สามารถคอมเม้นต์ แชร์ให้เพื่อนๆ ท่านๆอื่นๆ ฟังได้นะครับบบ