1.ขาดวินัยในการตั้ง Stop Loss = เปิดประตูสู่การล้างพอร์ต
หนึ่งในสาเหตุหลักที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะ “ระบบเทรดไม่ดี” หรือ “วิเคราะห์พลาด” แต่เพราะไม่มีวินัยในการ "ยอมแพ้อย่างถูกจุด" หลายคน “รู้” ว่าควรตั้ง Stop Loss แต่เมื่อราคาวิ่งสวน ก็เลือกจะเลื่อน หรือ ถอด SL ออก ด้วยความหวังว่า “มันต้องกลับมาแน่ๆ” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ความเสียหายที่ลุกลาม”
ทำไมการไม่ตั้ง Stop Loss ถึงสำคัญ?
-ทุนหาย กำไรหด: ถ้าขาดทุนหนักในออเดอร์เดียว คุณอาจต้องใช้หลายออเดอร์ที่กำไรสูงกว่าปกติเพื่อแค่ "กลับมาเท่าทุน" ซึ่งยากมาก
-หลงกับดักความหวัง: ความหวังไม่ใช่เครื่องมือเทรด แต่เป็นกับดักทางอารมณ์ ที่ทำให้คุณยึดติดกับ Position ที่ผิด
-เสียโอกาส: การยื้อออเดอร์ที่ขาดทุน หมายถึงคุณ “ล็อกเงินทุน” ไว้กับจุดที่ไม่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะนำทุนไปหาจังหวะใหม่ที่ดีกว่า
วิธีฝึกวินัยกับ Stop Loss
-ตั้ง SL ทุกครั้งก่อนกดเข้าออเดอร์
-คิดเสมอว่า "เงินทุนคือกระสุน" อย่าให้มันหมดเพราะความดื้อ
-หมั่นทบทวนว่าคุณเทรดด้วยระบบ หรือด้วยอารมณ์?
การไม่ตั้ง Stop Loss ก็เหมือนขับรถเร็วโดยไม่เหยียบเบรก แม้จะถึงจุดหมาย แต่อาจเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้
2.เทรดตามอารมณ์ ไม่ใช้แผน = พาตัวเองเข้าใกล้ความล้มเหลว
หนึ่งใน พฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ในหมู่เทรดเดอร์มือใหม่และแม้แต่มือเก๋าบางคน คือ “การเทรดด้วยอารมณ์” มากกว่า “การตัดสินใจตามแผน”
คุณอาจรู้ตัวช้าไปว่า... กำไรที่ได้มานั้นไม่ยั่งยืน และขาดทุนที่เกิดขึ้นก็ยากจะควบคุม
ตัวอย่างอารมณ์ที่ทำลายแผนเทรด
-โลภ (Greed): กำไรแล้วไม่ยอมปิด หวังว่าจะได้มากขึ้น จนกราฟย้อนกลับมาขาดทุนหมด
-กลัว (Fear): กลัวขาดทุนจนรีบปิดออเดอร์ ทั้งที่กราฟยังไม่แตะ SL หรือ TP — เสียโอกาสทั้งกำไรและการฝึกวินัย
-หัวร้อน/แก้มือ (Revenge Trading): ขาดทุนแล้วรีบเปิดออเดอร์ใหม่โดยไม่ไตร่ตรอง หวังจะ "เอาคืน" จนยิ่งขาดทุนเพิ่ม
ทำไมการไม่มีแผนถึงอันตราย?
-คุณจะ “ไม่มีเกณฑ์ตัดสินใจ” ที่ชัดเจน
-ระบบเทรดไม่ทำงาน เพราะคุณไม่ยึดตามกฎของมัน
-ผลลัพธ์ที่ได้คือสุ่ม ไม่สามารถวัดผลหรือปรับปรุงอะไรได้เลย
-คุณจะเหนื่อย และเสียศรัทธาในตัวเอง จนหมดไฟในที่สุด
วิธีฝึกเทรดแบบมีระบบ ไม่ใช้อารมณ์
-เขียนแผนเทรดก่อนทุกวัน (เช่น จุดเข้า จุดออก ความเสี่ยงต่อออเดอร์ ฯลฯ)
-เมื่อกดออเดอร์แล้ว “ปล่อยให้ระบบทำงาน” — อย่าแตะ อย่าเปลี่ยนใจ
-ทบทวนทุกวัน: คุณทำตามแผนหรือเปล่า?
-หากรู้ตัวว่าเทรดด้วยอารมณ์ → หยุดเทรดทันที
แผนที่ไม่สมบูรณ์แต่ทำตามอย่างมีวินัย ยังดีกว่าระบบขั้นเทพแต่ใช้อารมณ์สั่งการ
3.ใช้ Leverage เกินตัว = เสี่ยงพอร์ตพังในพริบตา
Leverage (เลเวอเรจ) เปรียบเสมือน ดาบสองคม ถึงแม้ว่าจะช่วย “ขยายโอกาสทำกำไร” แต่ก็ขยาย “ความเสี่ยง” ด้วยเช่นกัน
การใช้ Leverage สูงโดยไม่เข้าใจกลไกของมัน คือ กับดัก ที่พาเทรดเดอร์จำนวนมากสู่จุดจบของพอร์ต
Leverage คืออะไร?
Leverage คือ การยืมเงินจากโบรกเกอร์ เพื่อเปิดออเดอร์ที่ใหญ่กว่าทุนจริง เช่น
มีเงิน $1,000 แต่ใช้ Leverage 1:100 → เท่ากับเปิดออเดอร์ได้สูงถึง $100,000
ปัญหา คืออะไร?
ยิ่ง Leverage สูง → ยิ่ง Margin น้อย → พอร์ตยิ่งเปราะบาง ถ้าราคาเคลื่อนผิดทางเพียง 0.5–1% ก็อาจโดน
ล้างพอร์ต (Margin Call) ได้
นักลงทุนมือใหม่มักมองแค่โอกาสกำไร แต่ ไม่คำนวณ Worst-case Scenario
ตัวอย่างเช่น:
สมมุติใช้ Leverage 1:100 เปิดออเดอร์ล็อตใหญ่กว่าทุนจริง 50 เท่า
ถ้าราคาขยับเพียง -1.5% ผิดทาง คุณอาจขาดทุน 70–90% ของพอร์ตทันที
ใช้ Leverage อย่างไรให้ปลอดภัย?
-เริ่มด้วย Leverage ต่ำ: เช่น 1:10 หรือ 1:20 โดยเฉพาะในช่วงฝึกฝนและสร้างวินัย
-อย่ามองแค่ “ออเดอร์ที่เปิดจะได้กำไร” แต่มองว่า “พอร์ตจะทนความผันผวนได้แค่ไหน”
-ใช้ Stop Loss เสมอ: ปิดความเสี่ยงก่อนที่จะบานปลาย
-ฝึกวาง Money Management: เช่น เสี่ยงไม่เกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
Leverage คือเชื้อเพลิง หากใช้อย่างถูกต้อง อาจพาคุณบินสูง แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจ... อาจโดนเผาพอร์ตคุณทั้งกอง
4.ไม่ศึกษาตลาดให้ลึกพอ = ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำซาก
การเข้าเทรดโดยไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ สินทรัพย์ที่กำลังซื้อขาย เปรียบเหมือนการลงสนามรบโดยไม่มีอาวุธ – มีแต่ “ความหวัง” แทนที่จะมี “ความเข้าใจ”
สินทรัพย์แต่ละประเภทมี “พฤติกรรมเฉพาะตัว”
-ทองคำ (Gold): ผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
-น้ำมัน (Crude Oil): อ่อนไหวต่อข่าวจาก OPEC, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสต็อกน้ำมันสหรัฐ
-ค่าเงิน (Forex): ขึ้นลงตามนโยบายการเงิน, ดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ และข้อมูลเศรษฐกิจรายประเทศ
หากเทรดโดยไม่เข้าใจว่า “ปัจจัยอะไรขับเคลื่อนราคา” ก็จะ เดาทางตลาดผิดซ้ำๆ จนขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างพฤติกรรมเสี่ยง
-เห็นทองขึ้น → เข้า Buy ทันที โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีประกาศ CPI ที่อาจทำให้ทองร่วง
-เทรดคู่ USD/JPY แต่ไม่เคยดูนโยบายธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)
-เปิดออเดอร์น้ำมันโดยไม่รู้ว่าสัปดาห์นี้มีรายงานสต็อกน้ำมัน (EIA)
วิธีแก้ไขและยกระดับการเทรด
ศึกษา “พื้นฐาน” ของสินทรัพย์นั้นๆ ให้เข้าใจ และติดตามข่าวสาร เช่น อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนราคา? สินทรัพย์นั้นเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใด?
มีข่าวหรือปัจจัยใดที่ส่งผลโดยตรง? ควรติดตาม
ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) เพื่อรู้ว่า “วันนี้มีข่าวอะไร” และควรเทรดช่วงไหน/หลีกเลี่ยงช่วงไหน
ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่กับปัจจัยพื้นฐาน อย่าพึ่งแต่เส้น EMA หรือ RSI โดยไม่รู้ว่าตลาดกำลังรอข่าวใหญ่ หมั่นติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Bloomberg, Reuters, Investing.com หรือติดตามง่ายๆ จากผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ ตามแพลตฟอร์ม Social ต่างๆ หรือโบรกเกอร์ ซึ่งปกติผมจะหาข้อมูลจาก
https://www.ebc.com/th/forex/th-news-today/ ซึ่งได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านและติดตามกันได้
เทรดโดยไม่รู้ว่าเทรดอะไร ก็เหมือนเดินในเขาวงกตโดยไม่มีแผนที่
5.เข้าออเดอร์ถี่เกินไป (Overtrading) = เหนื่อยเปล่า กำไรหด
หลายคนเข้าใจผิดว่า "เทรดเยอะ = กำไรเยอะ"
แต่ความจริงคือ "เทรดมากเกินไป = โอกาสพลาดมากขึ้น"
Overtrading เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พอร์ตพัง แม้จะเริ่มต้นด้วยแผนที่ดี
ผลเสียของ Overtrading:
-เสียค่าธรรมเนียม (Spread, Commission) : ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งโดนหักค่าใช้จ่ายบ่อย โดยเฉพาะในตลาดที่มีสเปรดกว้างหรือค่าคอมมิชชั่นสูง
-อ่อนล้าทางจิตใจ (Mental Fatigue) : การนั่งจ้องหน้าจอและเข้าออเดอร์ถี่ ทำให้เกิดความเครียด กดดัน และลดความสามารถในการตัดสินใจ
-หลุดระบบการเทรด (Break Discipline) : จากที่เคยเทรดตามแผน เริ่ม “เทรดตามอารมณ์” หรือ “แก้มือ” เพราะอยากคืนทุนไว
-กำไรจริงจางลง (Profit Erosion) : แม้จะมีกำไรบ้าง แต่เมื่อหักค่าธรรมเนียมและออเดอร์ที่พลาด ผลลัพธ์สุดท้ายอาจกลายเป็นขาดทุน
สาเหตุที่คนชอบ Overtrade:
-กลัวพลาดโอกาส (FOMO: Fear of Missing Out)
-ติดนิสัย “ต้องมีออเดอร์ตลอด”
-ขาดแผนเทรดที่ชัดเจน
-ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เช่น โลภ หรือแก้มือเมื่อขาดทุน
วิธีแก้ไขและป้องกัน Overtrading:
-จำกัดจำนวนออเดอร์ต่อวันหรือสัปดาห์ : เช่น วันละไม่เกิน 2-3 ออเดอร์ (เฉพาะจังหวะที่มั่นใจ)
-ใช้แผนการเทรดอย่างเคร่งครัด (Trading Plan) : เทรดเมื่อเข้าเงื่อนไขเท่านั้น เช่น มีสัญญาณจากทั้งเทคนิค + ข่าว
-ตั้งเป้าหมายรายวัน/รายสัปดาห์ : ถ้าถึงเป้ากำไรหรือขาดทุนที่ตั้งไว้แล้ว ให้หยุดทันที
-บันทึกการเทรด (Trading Journal) : ช่วยให้มองเห็นพฤติกรรม Overtrade ที่เกิดซ้ำ และปรับปรุงได้ตรงจุด
“เทรดน้อยแต่แม่น ดีกว่าเทรดเยอะแต่มั่ว” การเลือกจังหวะคุณภาพสูง = ทางลัดสู่กำไรระยะยาว
สรุป
5 พฤติกรรมที่ทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนมาแล้วนับไม่ถ้วน บางคนเข้าใจหลักการ อ่านหนังสือมาแล้วไม่รู้กี่เล่ม แต่ก็ยังเทรดแพ้อยู่ดี ทางออกที่ง่ายที่สุด คือการทำสมาธิ เพราะการทำสมาธิ นอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์และจิตใจได้แแล้ว ยังทำให้เรานิ่งต่อทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการอยู่ในโลกของการเทรด
ดังนั้น หากจะประสบความสำเร็จด้านการเทรด การรู้พฤติกรรมเสี่ยงๆ เหล่านี้อาจช่วยให้คุณไม่ทำผิดพลาด และเอาชนะตลาดได้ในที่สุด
5 พฤติกรรมที่ทำให้เทรดแล้วขาดทุน
หนึ่งในสาเหตุหลักที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะ “ระบบเทรดไม่ดี” หรือ “วิเคราะห์พลาด” แต่เพราะไม่มีวินัยในการ "ยอมแพ้อย่างถูกจุด" หลายคน “รู้” ว่าควรตั้ง Stop Loss แต่เมื่อราคาวิ่งสวน ก็เลือกจะเลื่อน หรือ ถอด SL ออก ด้วยความหวังว่า “มันต้องกลับมาแน่ๆ” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ความเสียหายที่ลุกลาม”
ทำไมการไม่ตั้ง Stop Loss ถึงสำคัญ?
-ทุนหาย กำไรหด: ถ้าขาดทุนหนักในออเดอร์เดียว คุณอาจต้องใช้หลายออเดอร์ที่กำไรสูงกว่าปกติเพื่อแค่ "กลับมาเท่าทุน" ซึ่งยากมาก
-หลงกับดักความหวัง: ความหวังไม่ใช่เครื่องมือเทรด แต่เป็นกับดักทางอารมณ์ ที่ทำให้คุณยึดติดกับ Position ที่ผิด
-เสียโอกาส: การยื้อออเดอร์ที่ขาดทุน หมายถึงคุณ “ล็อกเงินทุน” ไว้กับจุดที่ไม่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะนำทุนไปหาจังหวะใหม่ที่ดีกว่า
วิธีฝึกวินัยกับ Stop Loss
-ตั้ง SL ทุกครั้งก่อนกดเข้าออเดอร์
-คิดเสมอว่า "เงินทุนคือกระสุน" อย่าให้มันหมดเพราะความดื้อ
-หมั่นทบทวนว่าคุณเทรดด้วยระบบ หรือด้วยอารมณ์?
การไม่ตั้ง Stop Loss ก็เหมือนขับรถเร็วโดยไม่เหยียบเบรก แม้จะถึงจุดหมาย แต่อาจเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้
2.เทรดตามอารมณ์ ไม่ใช้แผน = พาตัวเองเข้าใกล้ความล้มเหลว
หนึ่งใน พฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ในหมู่เทรดเดอร์มือใหม่และแม้แต่มือเก๋าบางคน คือ “การเทรดด้วยอารมณ์” มากกว่า “การตัดสินใจตามแผน”
คุณอาจรู้ตัวช้าไปว่า... กำไรที่ได้มานั้นไม่ยั่งยืน และขาดทุนที่เกิดขึ้นก็ยากจะควบคุม
ตัวอย่างอารมณ์ที่ทำลายแผนเทรด
-โลภ (Greed): กำไรแล้วไม่ยอมปิด หวังว่าจะได้มากขึ้น จนกราฟย้อนกลับมาขาดทุนหมด
-กลัว (Fear): กลัวขาดทุนจนรีบปิดออเดอร์ ทั้งที่กราฟยังไม่แตะ SL หรือ TP — เสียโอกาสทั้งกำไรและการฝึกวินัย
-หัวร้อน/แก้มือ (Revenge Trading): ขาดทุนแล้วรีบเปิดออเดอร์ใหม่โดยไม่ไตร่ตรอง หวังจะ "เอาคืน" จนยิ่งขาดทุนเพิ่ม
ทำไมการไม่มีแผนถึงอันตราย?
-คุณจะ “ไม่มีเกณฑ์ตัดสินใจ” ที่ชัดเจน
-ระบบเทรดไม่ทำงาน เพราะคุณไม่ยึดตามกฎของมัน
-ผลลัพธ์ที่ได้คือสุ่ม ไม่สามารถวัดผลหรือปรับปรุงอะไรได้เลย
-คุณจะเหนื่อย และเสียศรัทธาในตัวเอง จนหมดไฟในที่สุด
วิธีฝึกเทรดแบบมีระบบ ไม่ใช้อารมณ์
-เขียนแผนเทรดก่อนทุกวัน (เช่น จุดเข้า จุดออก ความเสี่ยงต่อออเดอร์ ฯลฯ)
-เมื่อกดออเดอร์แล้ว “ปล่อยให้ระบบทำงาน” — อย่าแตะ อย่าเปลี่ยนใจ
-ทบทวนทุกวัน: คุณทำตามแผนหรือเปล่า?
-หากรู้ตัวว่าเทรดด้วยอารมณ์ → หยุดเทรดทันที
แผนที่ไม่สมบูรณ์แต่ทำตามอย่างมีวินัย ยังดีกว่าระบบขั้นเทพแต่ใช้อารมณ์สั่งการ
3.ใช้ Leverage เกินตัว = เสี่ยงพอร์ตพังในพริบตา
Leverage (เลเวอเรจ) เปรียบเสมือน ดาบสองคม ถึงแม้ว่าจะช่วย “ขยายโอกาสทำกำไร” แต่ก็ขยาย “ความเสี่ยง” ด้วยเช่นกัน
การใช้ Leverage สูงโดยไม่เข้าใจกลไกของมัน คือ กับดัก ที่พาเทรดเดอร์จำนวนมากสู่จุดจบของพอร์ต
Leverage คืออะไร?
Leverage คือ การยืมเงินจากโบรกเกอร์ เพื่อเปิดออเดอร์ที่ใหญ่กว่าทุนจริง เช่น
มีเงิน $1,000 แต่ใช้ Leverage 1:100 → เท่ากับเปิดออเดอร์ได้สูงถึง $100,000
ปัญหา คืออะไร?
ยิ่ง Leverage สูง → ยิ่ง Margin น้อย → พอร์ตยิ่งเปราะบาง ถ้าราคาเคลื่อนผิดทางเพียง 0.5–1% ก็อาจโดน ล้างพอร์ต (Margin Call) ได้
นักลงทุนมือใหม่มักมองแค่โอกาสกำไร แต่ ไม่คำนวณ Worst-case Scenario
ตัวอย่างเช่น:
สมมุติใช้ Leverage 1:100 เปิดออเดอร์ล็อตใหญ่กว่าทุนจริง 50 เท่า
ถ้าราคาขยับเพียง -1.5% ผิดทาง คุณอาจขาดทุน 70–90% ของพอร์ตทันที
ใช้ Leverage อย่างไรให้ปลอดภัย?
-เริ่มด้วย Leverage ต่ำ: เช่น 1:10 หรือ 1:20 โดยเฉพาะในช่วงฝึกฝนและสร้างวินัย
-อย่ามองแค่ “ออเดอร์ที่เปิดจะได้กำไร” แต่มองว่า “พอร์ตจะทนความผันผวนได้แค่ไหน”
-ใช้ Stop Loss เสมอ: ปิดความเสี่ยงก่อนที่จะบานปลาย
-ฝึกวาง Money Management: เช่น เสี่ยงไม่เกิน 1–2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
Leverage คือเชื้อเพลิง หากใช้อย่างถูกต้อง อาจพาคุณบินสูง แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจ... อาจโดนเผาพอร์ตคุณทั้งกอง
4.ไม่ศึกษาตลาดให้ลึกพอ = ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำซาก
การเข้าเทรดโดยไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับ สินทรัพย์ที่กำลังซื้อขาย เปรียบเหมือนการลงสนามรบโดยไม่มีอาวุธ – มีแต่ “ความหวัง” แทนที่จะมี “ความเข้าใจ”
สินทรัพย์แต่ละประเภทมี “พฤติกรรมเฉพาะตัว”
-ทองคำ (Gold): ผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
-น้ำมัน (Crude Oil): อ่อนไหวต่อข่าวจาก OPEC, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสต็อกน้ำมันสหรัฐ
-ค่าเงิน (Forex): ขึ้นลงตามนโยบายการเงิน, ดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ และข้อมูลเศรษฐกิจรายประเทศ
หากเทรดโดยไม่เข้าใจว่า “ปัจจัยอะไรขับเคลื่อนราคา” ก็จะ เดาทางตลาดผิดซ้ำๆ จนขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างพฤติกรรมเสี่ยง
-เห็นทองขึ้น → เข้า Buy ทันที โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีประกาศ CPI ที่อาจทำให้ทองร่วง
-เทรดคู่ USD/JPY แต่ไม่เคยดูนโยบายธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)
-เปิดออเดอร์น้ำมันโดยไม่รู้ว่าสัปดาห์นี้มีรายงานสต็อกน้ำมัน (EIA)
วิธีแก้ไขและยกระดับการเทรด
ศึกษา “พื้นฐาน” ของสินทรัพย์นั้นๆ ให้เข้าใจ และติดตามข่าวสาร เช่น อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนราคา? สินทรัพย์นั้นเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใด?
มีข่าวหรือปัจจัยใดที่ส่งผลโดยตรง? ควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) เพื่อรู้ว่า “วันนี้มีข่าวอะไร” และควรเทรดช่วงไหน/หลีกเลี่ยงช่วงไหน
ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่กับปัจจัยพื้นฐาน อย่าพึ่งแต่เส้น EMA หรือ RSI โดยไม่รู้ว่าตลาดกำลังรอข่าวใหญ่ หมั่นติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น Bloomberg, Reuters, Investing.com หรือติดตามง่ายๆ จากผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ ตามแพลตฟอร์ม Social ต่างๆ หรือโบรกเกอร์ ซึ่งปกติผมจะหาข้อมูลจาก https://www.ebc.com/th/forex/th-news-today/ ซึ่งได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านและติดตามกันได้
เทรดโดยไม่รู้ว่าเทรดอะไร ก็เหมือนเดินในเขาวงกตโดยไม่มีแผนที่
5.เข้าออเดอร์ถี่เกินไป (Overtrading) = เหนื่อยเปล่า กำไรหด
หลายคนเข้าใจผิดว่า "เทรดเยอะ = กำไรเยอะ"
แต่ความจริงคือ "เทรดมากเกินไป = โอกาสพลาดมากขึ้น"
Overtrading เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พอร์ตพัง แม้จะเริ่มต้นด้วยแผนที่ดี
ผลเสียของ Overtrading:
-เสียค่าธรรมเนียม (Spread, Commission) : ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งโดนหักค่าใช้จ่ายบ่อย โดยเฉพาะในตลาดที่มีสเปรดกว้างหรือค่าคอมมิชชั่นสูง
-อ่อนล้าทางจิตใจ (Mental Fatigue) : การนั่งจ้องหน้าจอและเข้าออเดอร์ถี่ ทำให้เกิดความเครียด กดดัน และลดความสามารถในการตัดสินใจ
-หลุดระบบการเทรด (Break Discipline) : จากที่เคยเทรดตามแผน เริ่ม “เทรดตามอารมณ์” หรือ “แก้มือ” เพราะอยากคืนทุนไว
-กำไรจริงจางลง (Profit Erosion) : แม้จะมีกำไรบ้าง แต่เมื่อหักค่าธรรมเนียมและออเดอร์ที่พลาด ผลลัพธ์สุดท้ายอาจกลายเป็นขาดทุน
สาเหตุที่คนชอบ Overtrade:
-กลัวพลาดโอกาส (FOMO: Fear of Missing Out)
-ติดนิสัย “ต้องมีออเดอร์ตลอด”
-ขาดแผนเทรดที่ชัดเจน
-ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เช่น โลภ หรือแก้มือเมื่อขาดทุน
วิธีแก้ไขและป้องกัน Overtrading:
-จำกัดจำนวนออเดอร์ต่อวันหรือสัปดาห์ : เช่น วันละไม่เกิน 2-3 ออเดอร์ (เฉพาะจังหวะที่มั่นใจ)
-ใช้แผนการเทรดอย่างเคร่งครัด (Trading Plan) : เทรดเมื่อเข้าเงื่อนไขเท่านั้น เช่น มีสัญญาณจากทั้งเทคนิค + ข่าว
-ตั้งเป้าหมายรายวัน/รายสัปดาห์ : ถ้าถึงเป้ากำไรหรือขาดทุนที่ตั้งไว้แล้ว ให้หยุดทันที
-บันทึกการเทรด (Trading Journal) : ช่วยให้มองเห็นพฤติกรรม Overtrade ที่เกิดซ้ำ และปรับปรุงได้ตรงจุด
“เทรดน้อยแต่แม่น ดีกว่าเทรดเยอะแต่มั่ว” การเลือกจังหวะคุณภาพสูง = ทางลัดสู่กำไรระยะยาว
สรุป
5 พฤติกรรมที่ทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนมาแล้วนับไม่ถ้วน บางคนเข้าใจหลักการ อ่านหนังสือมาแล้วไม่รู้กี่เล่ม แต่ก็ยังเทรดแพ้อยู่ดี ทางออกที่ง่ายที่สุด คือการทำสมาธิ เพราะการทำสมาธิ นอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์และจิตใจได้แแล้ว ยังทำให้เรานิ่งต่อทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการอยู่ในโลกของการเทรด
ดังนั้น หากจะประสบความสำเร็จด้านการเทรด การรู้พฤติกรรมเสี่ยงๆ เหล่านี้อาจช่วยให้คุณไม่ทำผิดพลาด และเอาชนะตลาดได้ในที่สุด