ปันผลสูง เงินสดแกร่ง
https://www.facebook.com/share/p/1AwjYt7yDb/
โดยคุณวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด และคุณศรุติ โชติเสรีวิทย์, เจ้าของเพจ Stock Vitamins จากงานเสวนา “ตีแตกหุ้นไทย ON STAGE” SESSION 3
TOP10 หุ้นใหญ่สุดในไทย ในอีก 10 ปีข้างหน้า
เปิด SESSION ด้วยคำถามแรก ตอนนี้หุ้นไทยตอนนี้ถูกหรือยัง ?
คุณวิน บอกว่า “ถูกแล้ว” และต่างชาติ กับกองทุนทยอยเข้ามาซื้อแล้ว แต่ก็มีเรื่องน่าสังเกต และควรเฝ้าระวังด้วย เช่น หุ้นใหญ่สุดในไทยตอนนี้ Valuation คาดการณ์แพงกว่า Nvidia เสียอีกและเรื่องของภาษีที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
และแม้ว่าหุ้นไทย ยังมีอัตราการเติบโตที่ต่ำตามสภาพเศรษฐกิจ
แต่จุดเด่นอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นบ้านเราคือ มีหุ้นอัตราปันผลสูง เช่น กลุ่มธนาคาร สื่อสาร และพลังงาน เรียกได้ว่าเป็นหุ้น Play Safe ของนักลงทุน
โดยกลุ่มธนาคารกสิกรได้วิเคราะห์การเติบโตของตลาดหุ้นไทย ในอีก 10 ปีข้างหน้าเอาว่าจะเติบโตได้เฉลี่ย 5% ต่อปี ซึ่งจะมาจาก Capital Gain 1% และที่เหลือ 4% มาจากเงินปันผล..
ซึ่งปีนี้ ดัชนี SETHD (กลุ่มหุ้นปันผลสูง) มีอัตราจ่ายปันผล 6.87%
ปีหน้า คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 7.06%
ถือว่าผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อเทียบกับ SET Index หรือทั้งตลาดหุ้นไทย ที่ให้ผลตอบแทนปันผลอยู่ราว 4%
ซึ่งกลุ่มหุ้นปันผล จะมีจุดเด่นหลัก ๆ เลย คือ
-สร้างกระแสเงินสดให้นักลงทุนสม่ำเสมอได้ แต่ก็ต้องเลือกให้ดี
-
เวลาสภาพเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้จะปรับตัวลงน้อยกว่า
แต่ก็จะสวนทางกับช่วงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นดี ที่กลุ่มนี้จะปรับตัวขึ้นได้จำกัด
สำหรับเมกะเทรนด์เด่นของไทย ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจบ้านเราในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณวินมองไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่
1. Wellness Center of the World – ไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพโลก
ต่างชาติอยากมาอยู่ไทยมาก เพราะค่าครองชีพเราต่ำ และการแพทย์ก็ดี Night life ก็ดี อินเทอร์เน็ตแรง จุดแข็งเลยต้องเป็น Wellness Center แทนที่จะเป็น Entertainment Complex เรื่องนี้ก็นับเป็นโจทย์สำคัญของบ้านเรา
2. Green Energy – การเติบโตของพลังงานสะอาด เพราะประเทศเพื่อนบ้านไม่มี
3. Cloud Computing – เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นแหล่งของ Data Center ได้
โดยทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีโอกาสขึ้นมาเป็นตัวชูโรงให้ประเทศไทยเติบโตต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์เหล่านี้ ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เหมือนกัน
ต่อมาคุณจิม Stock Vitamin ได้เสริมว่า หุ้นไทยตอนนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างถูก
แต่ก่อนเราจะหาว่า TOP10 หุ้นไทยที่ใหญ่สุดในอนาคต จะเป็นตัวไหน
เราควรจะศึกษาจากอดีตเสี
ยก่อน ว่าที่ผ่านมา TOP10 หุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นกลุ่มใดเป็นผู้นำตลาดบ้าง
ไล่ตั้งแต่
ยุค 1980 - หุ้นธนาคาร และอุตสาหกรรม
ยุค 1990 - หุ้นโทรคมนาคม
ยุค 2000 - หุ้นพลังงาน
ยุค 2010 - หุ้นค้าปลีก และท่องเที่ยว
ยุค 2020 - หุ้นผสมผสาน เช่น หุ้นเทคโนโลยี พลังงาน ค้าปลีก
จะเห็นว่าในช่วงยุคเราตอนนี้ หุ้นใหญ่ทุกอุตสาหกรรมมันรวมกันไปหมด
แต่ก็จะมีกลุ่มธนาคาร ที่ติดอยู่ใน TOP10 ทุกยุค
แล้วเทรนด์การลงทุนในอนาคต มองอย่างไร ?
คุณจิมมองเป็นอักษรย่อง่าย ๆ ว่าต้องข้องเกี่ยวกับเทรนด์ “A-B-C-D-E”
A - Aging ยุคผู้สูงวัย
B - Banking หรือกลุ่มธนาคาร ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์มานานแล้วว่าแบงก์คืออยู่รอด
C - Consolidation กลุ่มบริษัทที่ควบรวมกิจการกันเพื่อความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น
D - Digital (Data Center, AI) ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Digital Economy และ AI
E - Energy (Green) พลังงานสะอาด
สรุปออกมาได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
-Banking (Digital) การทำธุรกิจแบงก์แบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป อนาคตดิจิทัลแบงก์กิงจะเริ่มเข้ามาแทนที่
-Technology (Hitech & Green) ในประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีเยอะเหมือนต่างประเทศ ในอนาคตอาจมีหุ้นเทคโนโลยีที่เกิดใหม่
-All in one Retail & Services ยกตัวอย่างเช่น เครือ CP ที่มีทุกอย่าง
เรื่องปิดท้ายฝากถึงนักลงทุนคือคุณวิน มองว่าประเทศไทยจะถูกนำโดยเทรนด์ของโลกไม่ว่าจะเป็น Wellness และ Cloud Computing เมื่อเรื่องนี้มาถึง แน่นอนว่าทั้งสถาบัน และต่างชาติก็ต้องเข้ามาลงทุนในบ้านเรา
และจากอดีตที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นคือตัวบ่งบอกอนาคตเสมอ ก็แสดงให้เห็นว่า ณ ตอนนี้ หุ้นไทยอาจมีแนวโน้มเป็นโอกาสขาขึ้นได้
ส่วนคุณจิม ก็มองว่าประเทศไทยอาจพบเห็นธีมการลงทุนใหม่ใน 10 ปีข้างหน้า เทรนด์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นแทน ธุรกิจใหญ่ ๆ อาจไม่ใช่บริษัทที่เติบโตได้ดี แต่บริษัทขนาดรองลงมา ก็อาจจะก้าวขึ้นมา ก็เป็นไปได้เหมือนกัน..
“ตลาดหุ้นไทย เปิดมา 50 ปี กลุ่มธนาคารติด TOP10 มูลค่ามากสุดทุกยุค”
https://www.facebook.com/share/p/1AwjYt7yDb/
โดยคุณวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด และคุณศรุติ โชติเสรีวิทย์, เจ้าของเพจ Stock Vitamins จากงานเสวนา “ตีแตกหุ้นไทย ON STAGE” SESSION 3
TOP10 หุ้นใหญ่สุดในไทย ในอีก 10 ปีข้างหน้า
เปิด SESSION ด้วยคำถามแรก ตอนนี้หุ้นไทยตอนนี้ถูกหรือยัง ?
คุณวิน บอกว่า “ถูกแล้ว” และต่างชาติ กับกองทุนทยอยเข้ามาซื้อแล้ว แต่ก็มีเรื่องน่าสังเกต และควรเฝ้าระวังด้วย เช่น หุ้นใหญ่สุดในไทยตอนนี้ Valuation คาดการณ์แพงกว่า Nvidia เสียอีกและเรื่องของภาษีที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
และแม้ว่าหุ้นไทย ยังมีอัตราการเติบโตที่ต่ำตามสภาพเศรษฐกิจ
แต่จุดเด่นอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นบ้านเราคือ มีหุ้นอัตราปันผลสูง เช่น กลุ่มธนาคาร สื่อสาร และพลังงาน เรียกได้ว่าเป็นหุ้น Play Safe ของนักลงทุน
โดยกลุ่มธนาคารกสิกรได้วิเคราะห์การเติบโตของตลาดหุ้นไทย ในอีก 10 ปีข้างหน้าเอาว่าจะเติบโตได้เฉลี่ย 5% ต่อปี ซึ่งจะมาจาก Capital Gain 1% และที่เหลือ 4% มาจากเงินปันผล..
ซึ่งปีนี้ ดัชนี SETHD (กลุ่มหุ้นปันผลสูง) มีอัตราจ่ายปันผล 6.87%
ปีหน้า คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 7.06%
ถือว่าผลตอบแทนสูงกว่า เมื่อเทียบกับ SET Index หรือทั้งตลาดหุ้นไทย ที่ให้ผลตอบแทนปันผลอยู่ราว 4%
ซึ่งกลุ่มหุ้นปันผล จะมีจุดเด่นหลัก ๆ เลย คือ
-สร้างกระแสเงินสดให้นักลงทุนสม่ำเสมอได้ แต่ก็ต้องเลือกให้ดี
-เวลาสภาพเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้จะปรับตัวลงน้อยกว่า
แต่ก็จะสวนทางกับช่วงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นดี ที่กลุ่มนี้จะปรับตัวขึ้นได้จำกัด
สำหรับเมกะเทรนด์เด่นของไทย ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจบ้านเราในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณวินมองไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่
1. Wellness Center of the World – ไทยในฐานะศูนย์กลางสุขภาพโลก
ต่างชาติอยากมาอยู่ไทยมาก เพราะค่าครองชีพเราต่ำ และการแพทย์ก็ดี Night life ก็ดี อินเทอร์เน็ตแรง จุดแข็งเลยต้องเป็น Wellness Center แทนที่จะเป็น Entertainment Complex เรื่องนี้ก็นับเป็นโจทย์สำคัญของบ้านเรา
2. Green Energy – การเติบโตของพลังงานสะอาด เพราะประเทศเพื่อนบ้านไม่มี
3. Cloud Computing – เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นแหล่งของ Data Center ได้
โดยทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีโอกาสขึ้นมาเป็นตัวชูโรงให้ประเทศไทยเติบโตต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์เหล่านี้ ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เหมือนกัน
ต่อมาคุณจิม Stock Vitamin ได้เสริมว่า หุ้นไทยตอนนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างถูก
แต่ก่อนเราจะหาว่า TOP10 หุ้นไทยที่ใหญ่สุดในอนาคต จะเป็นตัวไหน
เราควรจะศึกษาจากอดีตเสียก่อน ว่าที่ผ่านมา TOP10 หุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นกลุ่มใดเป็นผู้นำตลาดบ้าง
ไล่ตั้งแต่
ยุค 1980 - หุ้นธนาคาร และอุตสาหกรรม
ยุค 1990 - หุ้นโทรคมนาคม
ยุค 2000 - หุ้นพลังงาน
ยุค 2010 - หุ้นค้าปลีก และท่องเที่ยว
ยุค 2020 - หุ้นผสมผสาน เช่น หุ้นเทคโนโลยี พลังงาน ค้าปลีก
จะเห็นว่าในช่วงยุคเราตอนนี้ หุ้นใหญ่ทุกอุตสาหกรรมมันรวมกันไปหมด
แต่ก็จะมีกลุ่มธนาคาร ที่ติดอยู่ใน TOP10 ทุกยุค
แล้วเทรนด์การลงทุนในอนาคต มองอย่างไร ?
คุณจิมมองเป็นอักษรย่อง่าย ๆ ว่าต้องข้องเกี่ยวกับเทรนด์ “A-B-C-D-E”
A - Aging ยุคผู้สูงวัย
B - Banking หรือกลุ่มธนาคาร ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์มานานแล้วว่าแบงก์คืออยู่รอด
C - Consolidation กลุ่มบริษัทที่ควบรวมกิจการกันเพื่อความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น
D - Digital (Data Center, AI) ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Digital Economy และ AI
E - Energy (Green) พลังงานสะอาด
สรุปออกมาได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
-Banking (Digital) การทำธุรกิจแบงก์แบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป อนาคตดิจิทัลแบงก์กิงจะเริ่มเข้ามาแทนที่
-Technology (Hitech & Green) ในประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีเยอะเหมือนต่างประเทศ ในอนาคตอาจมีหุ้นเทคโนโลยีที่เกิดใหม่
-All in one Retail & Services ยกตัวอย่างเช่น เครือ CP ที่มีทุกอย่าง
เรื่องปิดท้ายฝากถึงนักลงทุนคือคุณวิน มองว่าประเทศไทยจะถูกนำโดยเทรนด์ของโลกไม่ว่าจะเป็น Wellness และ Cloud Computing เมื่อเรื่องนี้มาถึง แน่นอนว่าทั้งสถาบัน และต่างชาติก็ต้องเข้ามาลงทุนในบ้านเรา
และจากอดีตที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นคือตัวบ่งบอกอนาคตเสมอ ก็แสดงให้เห็นว่า ณ ตอนนี้ หุ้นไทยอาจมีแนวโน้มเป็นโอกาสขาขึ้นได้
ส่วนคุณจิม ก็มองว่าประเทศไทยอาจพบเห็นธีมการลงทุนใหม่ใน 10 ปีข้างหน้า เทรนด์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นแทน ธุรกิจใหญ่ ๆ อาจไม่ใช่บริษัทที่เติบโตได้ดี แต่บริษัทขนาดรองลงมา ก็อาจจะก้าวขึ้นมา ก็เป็นไปได้เหมือนกัน..