เรื่องที่ผมจะเล่ามันอาจจะยาวไปสักหน่อยนะครับ แต่ผมอยากจะเล่าเพื่อระบายหลายความรู้สึกที่มันไม่สามารถบอกให้คนรู้จักรับฟังได้ และแบ่งปันเป็นบทเรียนให้คนที่มีความรักแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาได้รับรู้ว่า ความรักแบบนั้นมันสามารถทำร้ายชีวิตเราได้มากขนาดไหน
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง (สมมติชื่อ A) ผ่านเว็บแชท ผมอายุน้อยกว่าเขา 7 ปี เขาเคยมีภรรยาและมีลูก 1 คน แต่ก็หย่ากันไป จึงกลายเป็นพ่อม่ายลูกติดที่หันมาสนใจเพศเดียวกัน และได้มาเจอกับผมในโลกออนไลน์ เราคุยกันผ่านเว็บแชทประมาณ 2 วัน ก็เปลี่ยนมาคุยกันผ่านไลน์ ทักหากันทุกวัน ไม่นานก็นัดเจอกันและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างคิดว่ามันจะเป็นแค่ความสัมพันธ์ทางกายชั่วคราวแบบครั้งสองครั้งแล้วแยกย้าย แต่กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ยืดเยื้อที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
เวลาผ่านไปเป็นปี 'ผมเริ่มรักเขา' เพราะตลอดเวลาที่ได้รู้จักกัน เขาปฏิบัติกับผมไม่ต่างจากคนรัก เราแชทหรือไม่ก็โทรคุยกันทุกวัน เจอกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปกินข้าว ดูหนัง ซื้อของ เที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ในวันที่ผมต้องห่างครอบครัวมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ คนเดียว เขาก็เข้ามาทำหน้าที่แทนคนในครอบครัว ที่สำคัญคือ เขาให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือความอบอุ่นของคนในครอบครัวที่เป็นผู้ชาย เพราะผมเติบโตมาท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ทำให้ผมรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนอยากปรับความสัมพันธ์ไปเป็นคู่ชีวิต
ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่หวังมันเป็นไปได้ยาก เพราะแม้เขาจะยืนยันว่าเป็นหนุ่มโสดที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับใครนอกจากผม แต่ก็มีเงื่อนไขที่กั้นผมกับเขาไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะเขามีลูกที่ต้องดูแล และผู้คนที่แวดล้อมเขาก็ยังไม่พร้อมรับกับความรักของเพศเดียวกัน ความสัมพันธ์ของเราเลยอยู่ในพื้นที่จำกัดและเป็นความลับ แต่ผมก็ไม่รีบยับยั้งความรู้สึกของตัวเอง กลับปล่อยให้ไถลไปต่อด้วยความคิดง่าย ๆ ว่า ก็มันรักไปแล้วจะให้ทำยังไง อยู่กับความสุขในปัจจุบัน อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป ซึ่งเขาเองก็รับรู้ความรักที่ผมมีให้เขา และแม้จะมีน้อยครั้งที่เขาพูดคำว่ารักกับผม แต่การกระทำก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีให้ผมเช่นกัน สิ่งเดียวที่ผมทำได้บนความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นคือ บอกเขาว่าผมจะรอวันที่เขาพร้อม เขาก็ขอให้ผมมีเขาแค่คนเดียว และ 'เป็นของเขาคนเดียว'
ผมใช้ความไว้ใจและความซื่อสัตย์ยึดโยงตัวเองไว้กับเขา โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัว ครอบครัว หน้าที่การงานและการเงินของเขา ต่างคนต่างใช้ชีวิตไปตามวิถีของตัวเอง เมื่อมีเวลาว่างก็มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบคนรักคู่หนึ่ง แม้ไม่มีฐานะทางนิตินัย แต่ทางพฤตินัยก็ชัดเจนว่าเราเป็นแฟนกัน โดยผมให้อิสระกับเขาเต็มที่ ไม่เคยก้าวก่ายรุกล้ำชีวิตส่วนตัวของเขา ไม่มีเช็คมือถือ ไม่คอยตามคอยถามว่าเขาทำอะไรกับใครที่ไหน แต่เราก็จะบอกกันเสมอหากมีเหตุที่ต้องขาดการติดต่อกันนานกว่าปกติ หรือถ้าเขาไปไหนมาไหนกับเพื่อนก็จะส่งรูปมาให้ผมดูเกือบทุกครั้ง เราไม่ได้เป็นเพื่อนหรือติดตามกันในโซเชียลทุกแฟลตฟอร์ม แต่ผมก็มีเข้าไปดูเฟซบุ้กเขาบ้างนาน ๆ ครั้ง ซึ่งเขาก็โพสต์ไลฟ์สไตล์ชายโสดทั่วไปที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมปฏิบัติกับเขา เป็นการละเลยหรือไม่ใส่ใจคนรัก แต่เป็นการให้พื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน โดยมีความรัก ความห่วงใย ความเชื่อใจ และความซื่อสัตย์เป็นตัวรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่เรื่อยไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เวลาผ่านไปเข้าปีที่ 5 ความสัมพันธ์ของผมกับ A ก็เจอจุดวิกฤต เมื่อเขาหายไปเงียบ ๆ โดยที่ติดต่อไม่ได้ 2 - 3 วัน ผมเลยเข้าไปดูในเฟซบุ้กเขา เห็นเขาลงรูปและวิดีโอไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นการลงรูปเขาคนเดียว แต่ก็รู้ว่ามีคนถ่ายให้เหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับผม เขาก็จะลงรูปเขาคนเดียวซึ่งผมเป็นคนถ่าย ผมตามสืบจากโพสต์นั้น จนได้รู้ความจริงว่าเขามีความสัมพันธ์ในลักษณะคล้ายกันกับผมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง (สมมติชื่อ B) ซึ่งเขารู้จักกันมาเป็น 10 ปี และไม่ใช่เพียงเขาสองคนที่ผูกพันกัน แต่ครอบครัวเขาก็สนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของ A กับ B ก็อยู่ในพื้นที่จำกัดและเป็นความลับเช่นเดียวกับผม
ผมกับ B ได้คุยกันผ่านทาง inbox เฟซบุ้ก จนความจริงทุกอย่างกระจ่าง ซึ่ง B เสียใจและเจ็บปวดมาก ผมเข้าใจดีเพราะความรู้สึกผมก็สาหัสไม่ต่างกัน B บอกกับผมว่า ถ้ารักกันเขาก็จะหลีกทางให้ แต่จิตสำนึกผมมันบอกอยู่ตลอดว่าเมื่อมาทีหลังก็ต้องเป็นฝ่ายไป แม้จะไม่รู้ว่าเขาคบกันมาก่อน แต่ B ก็ไม่ใช่คนผิด และเมื่อเทียบกันแล้วผมเองก็สู้อะไร B ไม่ได้เลยสักนิด หากให้ A เลือก เขาก็ไม่เลือกผมแน่นอน ผมจึงบอก B ว่าผมจะถอยออกมา และไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับเขาสองคนอีก แม้ความรู้สึกผมจะพังยับแค่ไหน แต่ก็ต้องตัดใจทำแบบนั้น เพื่อรับผิดชอบในความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้น และกลับมารักษาตัวเองให้เร็วที่สุด
เมื่อ A รู้เรื่อง เขาโทรหาผมทันที 2 สาย แต่ผมปล่อยให้เป็น misscall เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกับเขาในตอนนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ติดต่อมาอีก บล็อคทั้งเบอร์และไลน์ผมแล้วหายไปจากชีวิตผมแบบไม่มีเยื่อใย ไร้ความพยายามที่จะรั้งผมไว้หรือตามผมกลับไปอย่างสิ้นเชิง ผมคิดไม่ผิดว่าถึงยังไงเขาก็ไม่เลือกผม และได้รู้แล้วว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้สำคัญหรือจำเป็นกับชีวิตเขาขนาดนั้น
หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มมีอาการเหมือนซึมเศร้า ผ่านแต่ละวันไปด้วยความทรมาน บางครั้งก็ร้องไห้ออกมาด้วยหลายความรู้สึก พยายามทำใจจะลืมแต่ความอาลัยอาวรณ์ก็พาผมให้เข้าไปแอบส่องดูชีวิตของ A และ B ในเฟซบุ้กตลอด ซึ่งมันแย่ลงทุกครั้งที่เห็นเขายังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ในขณะที่ผมจะเป็นจะตายอยู่ทุกวัน แม้จะรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ผมเป็นคนเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่คนต้นเรื่องไม่คิดจะรับผิดชอบการกระทำของเขาเลยสักนิด แต่สาเหตุส่วนหนึ่งมันก็เกิดขึ้นเพราะความใจง่ายของผมที่ปล่อยใจให้รักเขา เชื่อเขา ยอมเขาแทบทุกอย่าง สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้ทรมานอยู่ฝ่ายเดียว ผมเก็บเรื่องทั้งหมดไว้คนเดียว บอกเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นบนพื้นที่ของความลับ ทำได้แต่คิดว่าวันนึงเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้
เวลาผ่านไปเกือบปี แทนที่ผมจะเข้มแข็งขึ้น กลับอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ความรู้สึกผมดิ่งลงต่ำถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เข้าโรงพยาบาลหลายครั้งด้วยภาวะซึมเศร้า สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนั้นคือ อยากให้ A รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นกับผมตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้มีผมคนเดียว จนเมื่อความอดทนมันต่ำถึงขีดสุด ผมก็ทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับ B และทำสิ่งที่ผิดพลาดอีกครั้งด้วยการทักไปหา A ทาง inbox เฟซบุ้ก ผ่านไปหลายวันเขาก็ตอบกลับ พร้อมกับคำขอโทษและยอมรับในความผิดทั้งหมดที่เขามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น
ผมระบายความรู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในระยะเวลาเกือบปีให้เขาได้รู้ คำตอบที่ผมอยากได้จากเขามากที่สุดคือ ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องระหว่างผมกับเขามันยืดเยื้ออยู่นานหลายปี ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งเขาจะต้องทิ้งผมไป ผมสูญเสียเวลาไป 5 ปีเพื่อหยุดอยู่ที่เขา ทั้งที่ผมอาจมีโอกาสได้เจอคนที่เขาพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกับผมแบบจริงจัง ทำไมถึงปล่อยให้ความรักความผูกพันที่ผมมีให้เขามันเลยเถิดมาไกลจนผมหาทางกลับไม่ได้ แล้วมาปล่อยให้ผมเคว้งคว้างอยู่กลางทางแบบนี้
A พูดคำว่าขอโทษกับผมนับครั้งไม่ถ้วน ยอมแม้จะกราบผมเพื่อสำนึกผิดในสิ่งที่เขาทำไป และบอกว่าเขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาเองก็ไม่คิดว่าความสัมพันธ์เล่น ๆ ในวันแรกของเราจะยืดเยื้อจนเป็นความรัก ซึ่งแม้ผมจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่เข้ามาในชีวิตเขา แต่ผมก็ทำให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเป็นโลกอีกใบที่ให้บางอย่างกับเขาได้มากกว่าโลกใบแรก แม้เขาจะรู้ว่ากำลังทำผิด แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเสียใจและไม่อยากเสียใครไป จึงเลือกที่จะไม่บอกให้ใครรู้ทั้งผมและ B ซึ่งในวันที่ผมรู้เรื่องเขากับ B เขาก็ไม่มีทางออกและไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรให้ผมเข้าใจหรือยอมรับได้ เมื่อโทรหาแล้วผมไม่รับสาย ก็คิดว่าผมคงเกลียดเขาไปแล้ว จึงบล็อคทั้งเบอร์และไลน์ ไม่อยากติดต่อหรือมาเจอหน้าให้ผมต้องเสียใจอีก
---เรื่องยังไม่จบนะครับ ไว้จะมาเล่าต่อในคอมเม้นต์ครับ---
อยากเลวแค่นี้ (ช-ช)
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง (สมมติชื่อ A) ผ่านเว็บแชท ผมอายุน้อยกว่าเขา 7 ปี เขาเคยมีภรรยาและมีลูก 1 คน แต่ก็หย่ากันไป จึงกลายเป็นพ่อม่ายลูกติดที่หันมาสนใจเพศเดียวกัน และได้มาเจอกับผมในโลกออนไลน์ เราคุยกันผ่านเว็บแชทประมาณ 2 วัน ก็เปลี่ยนมาคุยกันผ่านไลน์ ทักหากันทุกวัน ไม่นานก็นัดเจอกันและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างคิดว่ามันจะเป็นแค่ความสัมพันธ์ทางกายชั่วคราวแบบครั้งสองครั้งแล้วแยกย้าย แต่กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ยืดเยื้อที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
เวลาผ่านไปเป็นปี 'ผมเริ่มรักเขา' เพราะตลอดเวลาที่ได้รู้จักกัน เขาปฏิบัติกับผมไม่ต่างจากคนรัก เราแชทหรือไม่ก็โทรคุยกันทุกวัน เจอกันเกือบทุกอาทิตย์ ไปกินข้าว ดูหนัง ซื้อของ เที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ในวันที่ผมต้องห่างครอบครัวมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ คนเดียว เขาก็เข้ามาทำหน้าที่แทนคนในครอบครัว ที่สำคัญคือ เขาให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือความอบอุ่นของคนในครอบครัวที่เป็นผู้ชาย เพราะผมเติบโตมาท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ทำให้ผมรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนอยากปรับความสัมพันธ์ไปเป็นคู่ชีวิต
ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่หวังมันเป็นไปได้ยาก เพราะแม้เขาจะยืนยันว่าเป็นหนุ่มโสดที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับใครนอกจากผม แต่ก็มีเงื่อนไขที่กั้นผมกับเขาไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะเขามีลูกที่ต้องดูแล และผู้คนที่แวดล้อมเขาก็ยังไม่พร้อมรับกับความรักของเพศเดียวกัน ความสัมพันธ์ของเราเลยอยู่ในพื้นที่จำกัดและเป็นความลับ แต่ผมก็ไม่รีบยับยั้งความรู้สึกของตัวเอง กลับปล่อยให้ไถลไปต่อด้วยความคิดง่าย ๆ ว่า ก็มันรักไปแล้วจะให้ทำยังไง อยู่กับความสุขในปัจจุบัน อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป ซึ่งเขาเองก็รับรู้ความรักที่ผมมีให้เขา และแม้จะมีน้อยครั้งที่เขาพูดคำว่ารักกับผม แต่การกระทำก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีให้ผมเช่นกัน สิ่งเดียวที่ผมทำได้บนความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นคือ บอกเขาว่าผมจะรอวันที่เขาพร้อม เขาก็ขอให้ผมมีเขาแค่คนเดียว และ 'เป็นของเขาคนเดียว'
ผมใช้ความไว้ใจและความซื่อสัตย์ยึดโยงตัวเองไว้กับเขา โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัว ครอบครัว หน้าที่การงานและการเงินของเขา ต่างคนต่างใช้ชีวิตไปตามวิถีของตัวเอง เมื่อมีเวลาว่างก็มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบคนรักคู่หนึ่ง แม้ไม่มีฐานะทางนิตินัย แต่ทางพฤตินัยก็ชัดเจนว่าเราเป็นแฟนกัน โดยผมให้อิสระกับเขาเต็มที่ ไม่เคยก้าวก่ายรุกล้ำชีวิตส่วนตัวของเขา ไม่มีเช็คมือถือ ไม่คอยตามคอยถามว่าเขาทำอะไรกับใครที่ไหน แต่เราก็จะบอกกันเสมอหากมีเหตุที่ต้องขาดการติดต่อกันนานกว่าปกติ หรือถ้าเขาไปไหนมาไหนกับเพื่อนก็จะส่งรูปมาให้ผมดูเกือบทุกครั้ง เราไม่ได้เป็นเพื่อนหรือติดตามกันในโซเชียลทุกแฟลตฟอร์ม แต่ผมก็มีเข้าไปดูเฟซบุ้กเขาบ้างนาน ๆ ครั้ง ซึ่งเขาก็โพสต์ไลฟ์สไตล์ชายโสดทั่วไปที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมปฏิบัติกับเขา เป็นการละเลยหรือไม่ใส่ใจคนรัก แต่เป็นการให้พื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน โดยมีความรัก ความห่วงใย ความเชื่อใจ และความซื่อสัตย์เป็นตัวรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่เรื่อยไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เวลาผ่านไปเข้าปีที่ 5 ความสัมพันธ์ของผมกับ A ก็เจอจุดวิกฤต เมื่อเขาหายไปเงียบ ๆ โดยที่ติดต่อไม่ได้ 2 - 3 วัน ผมเลยเข้าไปดูในเฟซบุ้กเขา เห็นเขาลงรูปและวิดีโอไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นการลงรูปเขาคนเดียว แต่ก็รู้ว่ามีคนถ่ายให้เหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับผม เขาก็จะลงรูปเขาคนเดียวซึ่งผมเป็นคนถ่าย ผมตามสืบจากโพสต์นั้น จนได้รู้ความจริงว่าเขามีความสัมพันธ์ในลักษณะคล้ายกันกับผมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง (สมมติชื่อ B) ซึ่งเขารู้จักกันมาเป็น 10 ปี และไม่ใช่เพียงเขาสองคนที่ผูกพันกัน แต่ครอบครัวเขาก็สนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ของ A กับ B ก็อยู่ในพื้นที่จำกัดและเป็นความลับเช่นเดียวกับผม
ผมกับ B ได้คุยกันผ่านทาง inbox เฟซบุ้ก จนความจริงทุกอย่างกระจ่าง ซึ่ง B เสียใจและเจ็บปวดมาก ผมเข้าใจดีเพราะความรู้สึกผมก็สาหัสไม่ต่างกัน B บอกกับผมว่า ถ้ารักกันเขาก็จะหลีกทางให้ แต่จิตสำนึกผมมันบอกอยู่ตลอดว่าเมื่อมาทีหลังก็ต้องเป็นฝ่ายไป แม้จะไม่รู้ว่าเขาคบกันมาก่อน แต่ B ก็ไม่ใช่คนผิด และเมื่อเทียบกันแล้วผมเองก็สู้อะไร B ไม่ได้เลยสักนิด หากให้ A เลือก เขาก็ไม่เลือกผมแน่นอน ผมจึงบอก B ว่าผมจะถอยออกมา และไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับเขาสองคนอีก แม้ความรู้สึกผมจะพังยับแค่ไหน แต่ก็ต้องตัดใจทำแบบนั้น เพื่อรับผิดชอบในความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้น และกลับมารักษาตัวเองให้เร็วที่สุด
เมื่อ A รู้เรื่อง เขาโทรหาผมทันที 2 สาย แต่ผมปล่อยให้เป็น misscall เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกับเขาในตอนนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ติดต่อมาอีก บล็อคทั้งเบอร์และไลน์ผมแล้วหายไปจากชีวิตผมแบบไม่มีเยื่อใย ไร้ความพยายามที่จะรั้งผมไว้หรือตามผมกลับไปอย่างสิ้นเชิง ผมคิดไม่ผิดว่าถึงยังไงเขาก็ไม่เลือกผม และได้รู้แล้วว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้สำคัญหรือจำเป็นกับชีวิตเขาขนาดนั้น
หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มมีอาการเหมือนซึมเศร้า ผ่านแต่ละวันไปด้วยความทรมาน บางครั้งก็ร้องไห้ออกมาด้วยหลายความรู้สึก พยายามทำใจจะลืมแต่ความอาลัยอาวรณ์ก็พาผมให้เข้าไปแอบส่องดูชีวิตของ A และ B ในเฟซบุ้กตลอด ซึ่งมันแย่ลงทุกครั้งที่เห็นเขายังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ในขณะที่ผมจะเป็นจะตายอยู่ทุกวัน แม้จะรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ผมเป็นคนเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่คนต้นเรื่องไม่คิดจะรับผิดชอบการกระทำของเขาเลยสักนิด แต่สาเหตุส่วนหนึ่งมันก็เกิดขึ้นเพราะความใจง่ายของผมที่ปล่อยใจให้รักเขา เชื่อเขา ยอมเขาแทบทุกอย่าง สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้ทรมานอยู่ฝ่ายเดียว ผมเก็บเรื่องทั้งหมดไว้คนเดียว บอกเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นบนพื้นที่ของความลับ ทำได้แต่คิดว่าวันนึงเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้
เวลาผ่านไปเกือบปี แทนที่ผมจะเข้มแข็งขึ้น กลับอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ความรู้สึกผมดิ่งลงต่ำถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เข้าโรงพยาบาลหลายครั้งด้วยภาวะซึมเศร้า สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนั้นคือ อยากให้ A รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นกับผมตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้มีผมคนเดียว จนเมื่อความอดทนมันต่ำถึงขีดสุด ผมก็ทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับ B และทำสิ่งที่ผิดพลาดอีกครั้งด้วยการทักไปหา A ทาง inbox เฟซบุ้ก ผ่านไปหลายวันเขาก็ตอบกลับ พร้อมกับคำขอโทษและยอมรับในความผิดทั้งหมดที่เขามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น
ผมระบายความรู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในระยะเวลาเกือบปีให้เขาได้รู้ คำตอบที่ผมอยากได้จากเขามากที่สุดคือ ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องระหว่างผมกับเขามันยืดเยื้ออยู่นานหลายปี ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งเขาจะต้องทิ้งผมไป ผมสูญเสียเวลาไป 5 ปีเพื่อหยุดอยู่ที่เขา ทั้งที่ผมอาจมีโอกาสได้เจอคนที่เขาพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกับผมแบบจริงจัง ทำไมถึงปล่อยให้ความรักความผูกพันที่ผมมีให้เขามันเลยเถิดมาไกลจนผมหาทางกลับไม่ได้ แล้วมาปล่อยให้ผมเคว้งคว้างอยู่กลางทางแบบนี้
A พูดคำว่าขอโทษกับผมนับครั้งไม่ถ้วน ยอมแม้จะกราบผมเพื่อสำนึกผิดในสิ่งที่เขาทำไป และบอกว่าเขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาเองก็ไม่คิดว่าความสัมพันธ์เล่น ๆ ในวันแรกของเราจะยืดเยื้อจนเป็นความรัก ซึ่งแม้ผมจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่เข้ามาในชีวิตเขา แต่ผมก็ทำให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเป็นโลกอีกใบที่ให้บางอย่างกับเขาได้มากกว่าโลกใบแรก แม้เขาจะรู้ว่ากำลังทำผิด แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเสียใจและไม่อยากเสียใครไป จึงเลือกที่จะไม่บอกให้ใครรู้ทั้งผมและ B ซึ่งในวันที่ผมรู้เรื่องเขากับ B เขาก็ไม่มีทางออกและไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรให้ผมเข้าใจหรือยอมรับได้ เมื่อโทรหาแล้วผมไม่รับสาย ก็คิดว่าผมคงเกลียดเขาไปแล้ว จึงบล็อคทั้งเบอร์และไลน์ ไม่อยากติดต่อหรือมาเจอหน้าให้ผมต้องเสียใจอีก
---เรื่องยังไม่จบนะครับ ไว้จะมาเล่าต่อในคอมเม้นต์ครับ---