ผลงานของวอลเลย์บอลหญิงใน VNL สะท้อนความล้มเหลว และ ล้าหลังในวงการกีฬาไทย

ถึงจะเหลือเกมอีก 1 นัด แต่ก็แทบจะ 90% แล้วว่าเราตกชั้นแน่ๆ ซึ่งอย่างที่ผมเคยตั้งกระทู้ไปคราวก่อนแล้ว และผลงานที่ออกมาใน VNL ครั้งนี้มันคือความล้มเหลว และ ล้าหลัง ที่เผยให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในวงการกีฬาของไทย และผมจะขอแยกสิ่งที่พอมองเห็นชัดๆ ออกมาเป็นข้อๆ ออกมาเลยแล้วกัน ตั้งแต่ระดับบนจนถึงตัวนักกีฬา ยาวมากแต่มันจำเป็น

1. วิสัยทัศน์ของผู้บริหารไม่ตามทันโลก

ใช่คำว่าตามไม่ทันมันดูดีเกินไป ต้องเรียกว่าไม่ตามเลยจะดีกว่า อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า วิทยาศาสตร์การกีฬา นิวทริชั่น และ นักจิตวิทยา มันคือจุดสำคัญที่สุดที่ทำให้การกีฬามันพัฒนา ไปสู่ระดับที่สูงขึ้น คุณต้องกล้าลงทุนหาอะไรใหม่ๆ เข้ามา แต่นี่คืออะไรก่อน

นักกีฬาเจ็บกันแทบจะวันเว้นวัน วันเจอเยอรมันมึนถึงขนาดส่งนักกีฬา 5 คนลงสนามแทนที่จะเป็น 6 มันเห็นได้ชัดว่าจิตวิทยาของนักกีฬาที่พังพินาศ หลังจากจบสัปดาห์ที่ 2 เพียว พึ่งจะบอกถึงการไปหานักจิตวิทยา คือขอโทษนะครับแค่ อาทิตย์เดียวมันไม่ช่วยอะไรครับ จิตวิทยากีฬาต้องทำแบบต่อเนื่อง การมาทำแบบกะทันหันในเวลาแค่อาทิตย์เดียวมันไม่ช่วยอะไรเลยครับ

แล้วตอนจบสัปดาห์ที่ 2 ที่ฮ่องกง เราคงจะรู้ว่า คำว่าวิทยาศาสตร์การกีฬา พึ่งออกมาจากปากของ สมพร ใช้บางยาง คือเหลือเชื่อไหมครับ คุณพึ่งรู้จักกับคำๆ นี้เหรอ แสดงว่า ในช่วงก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยใช้มาก่อนเลย ชาติยุโรปหลายๆ ชาติที่ขึ้นมาเอาชนะเรานั้น ล้วนแล้วแต่พัฒนาวิทยาศาสตร์การกีฬาขึ้นมาทั้งนั้น

เรื่องนี้ยังสะท้อนไปถึงโครงการที่พึ่งผ่านไปอย่าง Domestic Power 2024-2025 ว่าเป็นเพียงแค่โครงการลมปากใช้ไม่ได้จริงในทางปฏิบัติ แค่มาออกบูธถ่ายรูปอุปกรณ์กีฬาแล้วก็จากไป และจาก 8 กีฬา 4 ใน 8 เช่น แบดมินตัน กอล์ฟ ฟุตซอล เทควันโด ล้วนแล้วแต่เป็นกีฬาที่กระจายลงไปสู่ระดับเยาวชนก่อนที่จะมีโครงการนี้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะแบดมินตันที่ชัดเจนที่สุด เพราะมีทัวร์เยาวชนทั้งปีจะมาเคลมว่าเริ่มมีรายการเยาวชนเพราะโครงการนี้มันไม่ได้

แต่กีฬาที่ควรจะเข้าไปอยู่ในโครงการ และเน้นวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นหลักเลยอย่าง กรีฑา ว่ายน้ำ ยิมนาสติก กลับไม่ถูกใส่เข้าไป ดันไปใส่อีสปอร์ต ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย แทบจะไม่ต่างอะไรกับโครงการแจกแท๊บเลตคนล่ะเครื่องเลย ถ้าจะเอากีฬาใหม่ เอาเอ็กซ์ตรีม เข้ามาไม่ดีกว่าเหรอ เช้าถึงเยาวชนได้ง่ายกว่าด้วย

2. ความดันทุรัง ของบุคลากร และหน่วยงาน

ระบบครอบครัวที่ยึดแต่ผลประโยชน์ของตนเองไม่ได้นึกถึงการพัฒนากีฬาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะนายกสมาคม รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่สามารถพัฒนาอะไรได้อีกแล้ว ก็ยังที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปยังกับไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ยังมีวิสัยทัศน์มากกว่านี้เข้ามาทำงานต่อได้ถ้าตัวเองลงจากตำแหน่ง รวมทั้งการใช้บุคลากรที่คุณก็รู้ว่าแนวทางของพวกเขามันตกยุคไปแล้ว มีแต่จะถอยหลังหรืออยู่กับที่เท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าใช้โค้ชต่างชาติหรือบุคลากรต่างชาติ ด้วยคำอ้างที่ว่าไม่เข้าใจในวัฒนธรรมไทย ขอโทษเถอะครับ ความคิดแบบนี้อย่ามาบริหารกีฬาเลยครับ นี่มันไม่ใช่ความเป็นไทย แต่มันคือความดันทุรัง อีโก้ มองเห็นแต่ความสำเร็จที่ตัวเองเคยทำได้ทั้งที่มันเป็นอดีตไปแล้ว การที่ดึงอะไรใหม่ๆ เข้ามา เราต้องรู้จักปรับตัว เข้าหาเขาด้วย ไม่ใช่ให้เขามาปรับตัวเข้าหาเราฝ่ายเดียว

แม้แต่ความดันทุรังที่ใช้แต่ชุดเดิมๆ ส่งแข่งไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ช่วงหลังโอลิมปิก มันเป็นช่วงสำคัญที่ต้องเริ่มหาสายเลือดใหม่เข้ามาแต่ดันพึ่งมาพัฒนาหลังจากโค้ชอ็อดเข้ามาคุมได้เพียง 1-2 เดือน แล้วเวลาที่เหลืออีก 5-6 เดือนมันหายไปไหน แม้แต่ความคิดที่จะจัดชิงแชมป์โลกให้ได้ก็เป็นอีกปัจจัย สังเกตุไหมครับว่า สปอนเซอร์ที่ให้งบชิงแชมป์โลกมา มันจำกัดจำเขี่ยมาก ก็เพราะพวกเขามองเห็นแล้วไงว่า วอลเลย์บอลไทยตอนนี้มันไม่มีอนาคตเลย ถ้าผลงานดีหรือมีอะไรที่รู้สึกว่า วอลเลย์บอลมันพัฒนา ไม่ต้องรอให้เจรจาหรอก เขาเข้าหาเองเลยด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ประเทศเพื่อนบ้านก็กำลังเจออยู่ แบดมินตันอินโดนีเซีย จุดที่ทำอินโดซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจในวงการแบดมินตัน ฟอร์มรูด ได้แค่ 2 แชมป์อาชีพ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้บุคลากรที่ไม่ตรงจุดและความอีโก้ พวกเขาเปลี่ยนโค้ชโดยไปดึงเอาฮาร์ดาโน่ ซึ่งเคยคุมเตาฟิกกลับมา แต่กลับปล่อยโค้ชแฮร์รี่ที่เคยคุมเควินไปให้กับมาเลเซีย ซึ่งแบดมินตันอินโดมีชื่อในเรื่องของสเต็ปเท้าและเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว ฮาร์ดาโน่ ซึ่งเป็นคนที่มีจุดเด่นในด้านสเต็ปเท้าอยู่แล้ว จะไปปรับเพิ่มอีกทำไม ส่วนเตาฟิกก็อีโก้จัดเกินไป สนใจแต่เรื่องที่ตัวเองไม่ได้เข้า Hall Of Fame ของ BWF แต่ลีชองเหว่ย กลับใช้หน้าที่ของตัวเอง เริ่มโครงการ Road To the Gold ให้กับนักกีฬาไปแล้ว มาเลเซีย ในวงการแบดมินตันวิทยาศาสตร์การกีฬาของพวกเขาคืออันดับ 1 เหนือกว่าจีนกับญี่ปุ่นเสียอีก ในขณะที่เตาฟิก ได้ออกข่าวแก้ตัวไปวันๆ แต่ไม่เคยพูดถึงแนวทางในการสร้างนักกีฬาเลย

หรือไม่ต้องอินโดก็ได้ กรีฑานี่ยิ่งชัดเลย กับความดันทุรังให้ บิว วิ่ง 4×100 ไม่เลิก แทนที่จะพัฒนาให้อีก 3 คนให้ทัดเทียม สุดท้าย บิว เองก็ติดหล่มตามไปด้วย สุดท้ายเสียหายกันไปหมด

3. ขาดความมุ่งมั่น แรงกระตุ้น และเป้าหมาย

ผมว่าพวกบุคลากร ไปเยอะ แต่นักกีฬาเองก็มีส่วนด้วย สิ่งที่เห็นจากคำสัมภาษณ์หลังวันเจอเยอรมันคือ ไทยตอนนี้อยู่ในช่วงจนตรอกถึงขีดสุดแล้ว แต่การสัมภาษณ์ที่ออกมามันขาดทั้งแรงกระตุ้น และความมุ่งมั่น เรื่องนี้มันบ่งชี้ได้จากภาพการฝึกซ้อมล่าสุด เราไม่ได้มีการแก้เรื่องบอลแรกหรือบอลเสิร์ฟเลยแม้แต่น้อย ถ้ารู้อยู่แล้วว่าการฝึกตัวนี้มันไม่ช่วยก็ควรออกความเห็นหรือไม่งั้นก็ลองฝึกด้วยตัวเองไม่ต้องให้ใครมาคอยสั่งก็ได้ เพราะในฐานะที่ทำงานกันเป็นทีม แล้วแบบนี้เราจะไปเอาความมั่นใจที่ชนะได้จากไหน แม้แต่โค้ชเองก็ไม่เคยที่จะแก้ในเรื่องนี้ พึ่งจะมาคิดได้หลังจากผ่านไป 2-3 แมชต์แล้ว แตกต่างจากเกาหลีใต้ที่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาสุ่มเสี่ยงตกชั้นมาก คำสัมภาษณ์ของพวกเขามุ่งเน้นไปที่การทุ่มสุดตัวเอาชนะเพื่อหนีตกชั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะพาเราไปโอลิมปิกอย่างที่พวกคุณพูดออกมาได้เลย เพราะทั้งระบบมันพังไปหมดแล้ว แค่รอเวลาล้มครืนลงมา

สมาคมวอลเลย์บอลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความล้มเหลวและล้าหลังในวงการกีฬากีฬาไทย บุคลากรที่เอาแต่คิดถึงความสำเร็จในอดีตหวังผลดาบหน้า แต่ไม่คิดถึงระยะยาว มันก็คือระเบิดเวลาที่รอวันทำลายตัวเองดีๆ นั่นแหละครับ แล้วไม่ใช่แค่วอลเลย์บอลด้วย มีอีกหลายกีฬาเลย แต่เพราะระบบมันพังไปตั้งแต่แรกและก็ไม่ได้เป็นกระแสแบบวอลเลย์บอลก็เพียงเท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่