สวัสดีครับ วันนี้มาอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา โดยการสมัครเอง กรอกDS160เอง ยื่นเองของผม
ก่อนอื่น ผมอายุเลยเบญจเพสมาสักพักแล้ว อยู่ๆ มีความคิดว่าอยากจะไปเที่ยวอเมริกาเพราะได้ยินมาแต่เด็กและไม่เคยไป เลยอยากจะไปเหยียบแผ่นดินสหรัฐครั้งแรกในชีวิต อยากดูว่าสภาพบ้านเมืองเค้าจะดีจะแย่อย่างที่เป็นข่าวไหม
ผมทำการกรอกเอกสาร ชำระเงิน และกดจองคิวสัมภาษณ์ตามขั้นตอน จนได้คิววันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมนั่งรถเมล์สองต่อ ออกจากหอแต่เช้ามืด ไปถึงแยกราชประสงค์ก็เดินต่อไปทางถนนวิทยุ พอไปถึงก็จะมีเจ้าหน้าที่สองคนตรงเต้นท์ริมฟุตบาทที่เช็กคิวเราและติดบาร์โค้ดตรงพาสปอร์ต ต่อมาเราต่อแถวเข้าจุดสแกนร่างกายและสิ่งของ จากนั้นปิดอุปกรณ์สื่อสารและฝากให้เจ้าหน้าที่พร้อมบัตรประชาชน ติดตัวแค่กระเป๋าตังค์และเอกสารสัมภาษณ์ ต่อมาเราเดินตามเส้นสีแดงไปอีกอาคารหนึ่ง เมื่อเข้าไปก็จะมีคนต่อแถวยาวเหยียด ซึ่งเราต้องไปต่อแถวสำหรับช่องประเมินการขอวีซ่าเบื้องต้นของเราก่อนโดยเจ้าหน้าที่คนไทย มีถามประวัติเราเบื้องต้นพร้อมสแกนลายนิ้วมือ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ไปต่อแถวสำหรับช่องสัมภาษณ์ที่อยู่เยื้องอีกฝั่งในโซนเดียวกัน ผมแอบตื่นเต้นเมื่อใกล้ถึงจุดสัมภาษณ์ แต่พยายามไม่ทำตัวประหม่า วันนั้นผมแต่งตัวแอบไม่ให้เกียรติสถานที่นิดนึง คือเสื้อยืดโปโล กางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอก รองเท้าแตะ ด้วยความคิดที่ว่า เห้ย เราจะไปเที่ยวนะ เราแค่มาขอวีซ่า เราไม่ได้มาทำให้ใครประทับใจ แต่พอเห็นหลายคนใส่สูท ใส่เพชร หน้าผมจัดเต็ม ก็แอบสังเวชตัวเองอยู่
พอถึงคิวผม ผมได้ช่องสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงฝรั่งฮิสแปนิค และมีผู้ชายฝรั่งผมบลอนด์ยืนดูหลังเก้าอี้แล้วผมก็มาถึงจุดสัมภาษณ์
จนท: ขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ
ผม: นี่ครับ (ยื่นให้)
จนท: ปัจจุบันนี้คุณทำอะไรอยู่คะ
ผม: ผมเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนครับ ที่… เป็นบริษัทเล็ก ๆ
จนท: คุณจะไปที่ไหนในอเมริกาคะ
ผม: ผมวางแผนจะไปชิคาโก้ครับ แล้วก็อยากไปรอบ ๆ มิดเวสต์แถววิสคอนซินและมินเนโซด้า
จนท: ทำไมต้องไปที่นั่น
ผม: ผมอยากไปที่ๆ คนไม่ค่อยไปเที่ยวกัน และผมรู้มาว่าแถวนั้นทะเลสาปเยอะ ผมอยากจะไปตกปลาเล่นที่นั่น
จนท: อ๋อ น่าสนุกดีนะ
(แล้วเจ้าหน้าที่ก็นั่งพิมพ์ยาว เงียบไปเกือบนาทีเศษ)
จนท: แล้วคุณมีคนรู้จักที่นั่นไหมคะ
ผม: ไม่มีเลยครับ
จนท: คุณเคยไปประเทศไหนมาแล้วบ้าง
ผม: เคยไปแค่ออสเตรเลียประเทศเดียวครับ ไปอยู่สามปี
จนท: ไปทำอะไรที่นู่น
ผม: ผมไปด้วยวีซ่า Work and Holiday ซึ่งถ้าคุณสมบัติผ่าน รัฐบาลอนุญาตให้อยู่ได้นานสูงสุดสามปี
จนท: คุณแต่งงานหรือมีแฟนรึยัง
ผม: ยังไม่มีครับ
(เจ้าหน้าที่พิมพ์ ต๊อกแต๊ก)
จนท:โอเคค่ะ ช่วยวางนิ้วมือฝั่งขวาสี่นิ้วของคุณบนเครื่องแสกนด้วย
(ผมวางนิ้วเสร็จ เจ้าหน้าที่คลิกคอมพิวเตอร์สักพัก)
จนท: โอเค แล้วแผนของคุณหลังจากนี้คืออะไร? (เจ้าหน้าที่วางมือจากคอมฯ นั่งมือเท้าเอวหันหน้าหันตัวมาถามผม)
ผม: ขออภัยภาษาอังกฤษผมด้วย รบกวนทวนคำถามได้ไหมครับ ผมไม่เข้าใจ
จนท: ระหว่างนี้จนวันที่คุณเดินทางไปอเมริกา คุณมีแผนอะไรไว้บ้าง
ผม: ด้วยความสัตย์ซื่อ ผมยังไม่ได้มีแผนการที่แน่นอนตายตัวเลยครับ แผนคร่าว ๆ ของผมมีแค่ว่าถ้าได้วันหยุดยาว จะไปเที่ยวอเมริกา ขากลับแวะญี่ปุ่นแล้วกลับมาทำงานที่ไทยอีกทีเมื่อวันหยุดจบลง
จนท: อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว (นั่งเลื่อนดูหน้าจอคอมฯ สักพัก)
–สารภาพเลยครับผมตอนนั้นแอบใจเสีย และใจสั่น และคิดกับตัวเองว่า เห้ย ไปพูดพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยการแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลยทำไมกันนะ ความรู้สึกตอนนั้นคือเหมือนเราเอาเงินไปเล่นการพนันแล้วแบบเทหน้าตัก เพราะคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุด แต่พอพูดออกไปแล้ว มันดูตลกมากที่พูดแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นถึงความไม่รอบคอบและความไม่ตั้งใจออกไป-
จากนั้นเจ้าหน้าที่แกหยิบพาสปอร์ตผมไปวางไว้ที่ตระกร้าข้างตัว
จนท: โอเคค่ะ เดี๋ยวคุณจะได้พาสปอร์ตคืนภายในสองสามวันนะคะ
ผม: ครับ? นี่คือทั้งหมดสำหรับวันนี้หรอครับ
จนท: ใช่ค่ะ
ผม: อ๋อ ขอบคุณมากครับ
จนท: คนถัดไปคะ!
ผมถือเอกสารออกมายืนนอกตึกแบบงงๆ แล้วนึกถึงกระทู้พันทิปเก่าๆ ที่วีซ่าผ่าน จะเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่จะพูดตอนจบทำนอง “ยินดีด้วยครับ วีซ่าคุณได้รับการอนุมัติ” “ยินดีด้วย คุณผ่านคุณสมบัติ” แต่ของผมเจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไรเลย จากนั้นก็นึกได้ว่ามีกระทู้วีซ่าอเมริกาที่ไม่ผ่านแล้วเจ้าหน้าที่เก็บพาสปอร์ตไว้ แล้วส่งคืนกลับทางไปรษณีย์มาแบบไร้วีซ่า พร้อมใบขาวแจ้งว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน
วันนั้นผมก็เดินคอตก กลัวเคสตัวเองเป็นแบบหลัง วันนั้นจำได้เลยว่าฝนตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มๆ เดินตากฝนไปรอป้ายรถเมล์ด้วยเอกสารที่เปียกจากฝนกระเซ็น บรรยากาศหดหู่เหมือนอารมณ์ผู้เข้าแข่งขันรายการเพลงที่ไม่ได้ไปต่อ
ผ่านมาสองวัน DHL โทรมาช่วงเที่ยงว่า เดี๋ยวจะมีพาสปอร์ตเข้าไปส่ง ขอให้เตรียมเงินค่าจัดส่งด้วย 370 บาท ตอนนั้นผมเซ็งยกสองเลย อารมณ์เหมือนคิดว่าตัวเองโดนปฏิเสธวีซ่าเสียไปหลายพันบาทไม่พอ ยังจะมาเก็บเงินค่าจัดส่งเพิ่มอีก
สักพัก DHL มาถึง ยื่นซองแดงให้เรา เราจ่ายเงิน แยกย้าย เราวิ่งกลับเข้าห้อง ฉีกพัสดุ เจอพาสปอร์ตตัวเองก็คือโยนไปวางไว้ที่อื่นก่อนเลย ตอนนั้นกะว่าจะหาจดหมายปฏิเสธสีขาวของสถานทูตมาอ่านก่อน ปรากฏว่าหาไม่เจอ เลยหยิบพาสปอร์ตตัวเองมาไล่หน้าดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมอุทานลั่น “อะไรวะ???” ผิดคาดคือวีซ่าผ่าน ผิดคาดสองได้มาสิบปี
หลังจากความสับสนงงงวยผ่านไป ความดีใจก็ผุดขึ้น พร้อมภูมิใจกับตัวเองว่าพนักงานเงินเดือนหมื่นแปด ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงินเก็บหลักล้าน+ สถานะทางสังคมและต้นทุนชีวิตไม่สูงอย่างเรา ก็ขอวีซ่าไปอเมริกากับเขาได้ด้วยเหมือนกัน

นี่เป็นการเขียนกระทู้ครั้งแรกของผม หากตกหล่นทางภาษาตรงไหน ขออภัยมา ณ ที่นี้
แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา กับผลลัพธ์ที่ผิดคาด
ก่อนอื่น ผมอายุเลยเบญจเพสมาสักพักแล้ว อยู่ๆ มีความคิดว่าอยากจะไปเที่ยวอเมริกาเพราะได้ยินมาแต่เด็กและไม่เคยไป เลยอยากจะไปเหยียบแผ่นดินสหรัฐครั้งแรกในชีวิต อยากดูว่าสภาพบ้านเมืองเค้าจะดีจะแย่อย่างที่เป็นข่าวไหม
ผมทำการกรอกเอกสาร ชำระเงิน และกดจองคิวสัมภาษณ์ตามขั้นตอน จนได้คิววันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมนั่งรถเมล์สองต่อ ออกจากหอแต่เช้ามืด ไปถึงแยกราชประสงค์ก็เดินต่อไปทางถนนวิทยุ พอไปถึงก็จะมีเจ้าหน้าที่สองคนตรงเต้นท์ริมฟุตบาทที่เช็กคิวเราและติดบาร์โค้ดตรงพาสปอร์ต ต่อมาเราต่อแถวเข้าจุดสแกนร่างกายและสิ่งของ จากนั้นปิดอุปกรณ์สื่อสารและฝากให้เจ้าหน้าที่พร้อมบัตรประชาชน ติดตัวแค่กระเป๋าตังค์และเอกสารสัมภาษณ์ ต่อมาเราเดินตามเส้นสีแดงไปอีกอาคารหนึ่ง เมื่อเข้าไปก็จะมีคนต่อแถวยาวเหยียด ซึ่งเราต้องไปต่อแถวสำหรับช่องประเมินการขอวีซ่าเบื้องต้นของเราก่อนโดยเจ้าหน้าที่คนไทย มีถามประวัติเราเบื้องต้นพร้อมสแกนลายนิ้วมือ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ไปต่อแถวสำหรับช่องสัมภาษณ์ที่อยู่เยื้องอีกฝั่งในโซนเดียวกัน ผมแอบตื่นเต้นเมื่อใกล้ถึงจุดสัมภาษณ์ แต่พยายามไม่ทำตัวประหม่า วันนั้นผมแต่งตัวแอบไม่ให้เกียรติสถานที่นิดนึง คือเสื้อยืดโปโล กางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอก รองเท้าแตะ ด้วยความคิดที่ว่า เห้ย เราจะไปเที่ยวนะ เราแค่มาขอวีซ่า เราไม่ได้มาทำให้ใครประทับใจ แต่พอเห็นหลายคนใส่สูท ใส่เพชร หน้าผมจัดเต็ม ก็แอบสังเวชตัวเองอยู่
พอถึงคิวผม ผมได้ช่องสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงฝรั่งฮิสแปนิค และมีผู้ชายฝรั่งผมบลอนด์ยืนดูหลังเก้าอี้แล้วผมก็มาถึงจุดสัมภาษณ์
จนท: ขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ
ผม: นี่ครับ (ยื่นให้)
จนท: ปัจจุบันนี้คุณทำอะไรอยู่คะ
ผม: ผมเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนครับ ที่… เป็นบริษัทเล็ก ๆ
จนท: คุณจะไปที่ไหนในอเมริกาคะ
ผม: ผมวางแผนจะไปชิคาโก้ครับ แล้วก็อยากไปรอบ ๆ มิดเวสต์แถววิสคอนซินและมินเนโซด้า
จนท: ทำไมต้องไปที่นั่น
ผม: ผมอยากไปที่ๆ คนไม่ค่อยไปเที่ยวกัน และผมรู้มาว่าแถวนั้นทะเลสาปเยอะ ผมอยากจะไปตกปลาเล่นที่นั่น
จนท: อ๋อ น่าสนุกดีนะ
(แล้วเจ้าหน้าที่ก็นั่งพิมพ์ยาว เงียบไปเกือบนาทีเศษ)
จนท: แล้วคุณมีคนรู้จักที่นั่นไหมคะ
ผม: ไม่มีเลยครับ
จนท: คุณเคยไปประเทศไหนมาแล้วบ้าง
ผม: เคยไปแค่ออสเตรเลียประเทศเดียวครับ ไปอยู่สามปี
จนท: ไปทำอะไรที่นู่น
ผม: ผมไปด้วยวีซ่า Work and Holiday ซึ่งถ้าคุณสมบัติผ่าน รัฐบาลอนุญาตให้อยู่ได้นานสูงสุดสามปี
จนท: คุณแต่งงานหรือมีแฟนรึยัง
ผม: ยังไม่มีครับ
(เจ้าหน้าที่พิมพ์ ต๊อกแต๊ก)
จนท:โอเคค่ะ ช่วยวางนิ้วมือฝั่งขวาสี่นิ้วของคุณบนเครื่องแสกนด้วย
(ผมวางนิ้วเสร็จ เจ้าหน้าที่คลิกคอมพิวเตอร์สักพัก)
จนท: โอเค แล้วแผนของคุณหลังจากนี้คืออะไร? (เจ้าหน้าที่วางมือจากคอมฯ นั่งมือเท้าเอวหันหน้าหันตัวมาถามผม)
ผม: ขออภัยภาษาอังกฤษผมด้วย รบกวนทวนคำถามได้ไหมครับ ผมไม่เข้าใจ
จนท: ระหว่างนี้จนวันที่คุณเดินทางไปอเมริกา คุณมีแผนอะไรไว้บ้าง
ผม: ด้วยความสัตย์ซื่อ ผมยังไม่ได้มีแผนการที่แน่นอนตายตัวเลยครับ แผนคร่าว ๆ ของผมมีแค่ว่าถ้าได้วันหยุดยาว จะไปเที่ยวอเมริกา ขากลับแวะญี่ปุ่นแล้วกลับมาทำงานที่ไทยอีกทีเมื่อวันหยุดจบลง
จนท: อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว (นั่งเลื่อนดูหน้าจอคอมฯ สักพัก)
–สารภาพเลยครับผมตอนนั้นแอบใจเสีย และใจสั่น และคิดกับตัวเองว่า เห้ย ไปพูดพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยการแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลยทำไมกันนะ ความรู้สึกตอนนั้นคือเหมือนเราเอาเงินไปเล่นการพนันแล้วแบบเทหน้าตัก เพราะคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุด แต่พอพูดออกไปแล้ว มันดูตลกมากที่พูดแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นถึงความไม่รอบคอบและความไม่ตั้งใจออกไป-
จากนั้นเจ้าหน้าที่แกหยิบพาสปอร์ตผมไปวางไว้ที่ตระกร้าข้างตัว
จนท: โอเคค่ะ เดี๋ยวคุณจะได้พาสปอร์ตคืนภายในสองสามวันนะคะ
ผม: ครับ? นี่คือทั้งหมดสำหรับวันนี้หรอครับ
จนท: ใช่ค่ะ
ผม: อ๋อ ขอบคุณมากครับ
จนท: คนถัดไปคะ!
ผมถือเอกสารออกมายืนนอกตึกแบบงงๆ แล้วนึกถึงกระทู้พันทิปเก่าๆ ที่วีซ่าผ่าน จะเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่จะพูดตอนจบทำนอง “ยินดีด้วยครับ วีซ่าคุณได้รับการอนุมัติ” “ยินดีด้วย คุณผ่านคุณสมบัติ” แต่ของผมเจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไรเลย จากนั้นก็นึกได้ว่ามีกระทู้วีซ่าอเมริกาที่ไม่ผ่านแล้วเจ้าหน้าที่เก็บพาสปอร์ตไว้ แล้วส่งคืนกลับทางไปรษณีย์มาแบบไร้วีซ่า พร้อมใบขาวแจ้งว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน
วันนั้นผมก็เดินคอตก กลัวเคสตัวเองเป็นแบบหลัง วันนั้นจำได้เลยว่าฝนตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มๆ เดินตากฝนไปรอป้ายรถเมล์ด้วยเอกสารที่เปียกจากฝนกระเซ็น บรรยากาศหดหู่เหมือนอารมณ์ผู้เข้าแข่งขันรายการเพลงที่ไม่ได้ไปต่อ
ผ่านมาสองวัน DHL โทรมาช่วงเที่ยงว่า เดี๋ยวจะมีพาสปอร์ตเข้าไปส่ง ขอให้เตรียมเงินค่าจัดส่งด้วย 370 บาท ตอนนั้นผมเซ็งยกสองเลย อารมณ์เหมือนคิดว่าตัวเองโดนปฏิเสธวีซ่าเสียไปหลายพันบาทไม่พอ ยังจะมาเก็บเงินค่าจัดส่งเพิ่มอีก
สักพัก DHL มาถึง ยื่นซองแดงให้เรา เราจ่ายเงิน แยกย้าย เราวิ่งกลับเข้าห้อง ฉีกพัสดุ เจอพาสปอร์ตตัวเองก็คือโยนไปวางไว้ที่อื่นก่อนเลย ตอนนั้นกะว่าจะหาจดหมายปฏิเสธสีขาวของสถานทูตมาอ่านก่อน ปรากฏว่าหาไม่เจอ เลยหยิบพาสปอร์ตตัวเองมาไล่หน้าดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้