รสนิยมด้านศิลปะของอิตาลีคือความเป็นเลิศ ทั้งความสง่างาม เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยทักษะในงานฝีมือ ทั้งหมดล้วนถ่ายทอด
ผ่านแบรนด์เครื่องแต่งกายอิตาลีที่คนทั้งโลกรู้จัก
Giorgio Armani คือนิยามของความเรียบหรูที่มีสไตล์ Prada เป็นต้นตำรับของคำว่า “น้อยแต่มาก”
ส่วนความฉูดฉาด และเซ็กซี่คือเสน่ห์อมตะของ Versace
แต่เอกลักษณ์ที่ทุกแบรนด์อิตาลีล้วนมีเหมือนกัน ก็คือ การทำให้จินตนาการสามารถนำมาสวมใส่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงชาวอิตาลีมีความพิถีพิถันในการแต่งกายอยู่ในสายเลือด ฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมการแต่งกายของโลกตะวันตกในยุคเรอแนซองซ์ และปัจจุบัน มิลาน คือ 1 ใน 4 เมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการแฟชั่นระดับโลก
อะไรที่ทำให้งานออกแบบของอิตาลีอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกแห่งเครื่องแต่งกาย ?
แฟชั่นอิตาลีถือกำเนิดก่อนที่อิตาลีจะก่อตั้งเป็นประเทศในยุคเรอแนซองซ์ นครรัฐฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางคาบสมุทรอิตาลี ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ของยุโรป
Arte della Lana หรือสมาคมค้าขนสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ถูกก่อตั้งในศตวรรษที่ 15 ซึ่งก่อให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก ผลักดันให้เมืองแห่งนี้เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกตะวันตกภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลเมดิชี ฟลอเรนซ์รุ่งเรืองจนพ่วงตำแหน่งศูนย์กลางศิลปะ เป็นแหล่งรวมช่างฝีมือสาขาต่าง ๆ ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรมรวมไปถึงเครื่องแต่งกาย มีช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญการผสมสีและทอผ้าเฉพาะตัว ไปจนถึงเทคนิคการฟอกหนังที่ไม่เหมือนใคร และขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก
แคเทอรีน เดอ เมดิชี ชาวฟลอเรนซ์ที่ต่อมากลายมาเป็นราชินีของฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีที่สุดในยุคเรอแนซองซ์
แต่แฟชั่นคือกิจการของชนชั้นสูง เมื่อนครรัฐบนคาบสมุทรอิตาลีเริ่มเสื่อมถอยและความเจริญเคลื่อนย้ายไปยังยุโรปเหนือ แฟชั่นของอิตาลีก็ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยมีแฟชั่นฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในโลกตะวันตกแทน
เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 นครรัฐน้อยใหญ่บนคาบสมุทรอิตาลีก็รวมประเทศสำเร็จในปี ค.ศ. 1861 พร้อมรับอิทธิพลการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โดยมีเขตอุตสาหกรรมหนาแน่นในที่ราบตอนเหนือ
แต่ผลของการรวมประเทศ กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญรัฐทางภาคเหนือของอิตาลี ซึ่งมีเมืองใหญ่อย่างมิลานและตูริน ที่ร่ำรวยจากการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ต่อเรือ สิ่งทอ และผลิตอาหาร ในขณะที่รัฐทางภาคใต้ยังคงเป็นเขตเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่จึงยังคงมีฐานะยากจน พื้นฐานในเขตภาคเหนือซ้ำยังต้องเสียภาษีเพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างความเหลื่อมล้ำนี้ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1890-1910 ชาวอิตาลีหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ ตัดสินใจอพยพหนีความแร้นแค้นไปตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐอเมริกา
แต่การรวมชาติก็ทําให้เกิดค่านิยมในการต่อต้านสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศส และหันมาใช้เสื้อผ้าที่ผลิตภายในอิตาลีมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อิตาลีเข้าสู่การปกครองในระบอบเผด็จการฟาสซิสต์เหล่านักออกแบบของอิตาลีจึงเริ่มสร้างสรรค์ “แบรนด์” เป็นของตัวเอง โดยมีเวทีแห่งแรกก็คือ ฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องหนังและการฟอกหนังมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
Gucci
หลังจากทำงานที่โรงแรมในกรุงลอนดอน และได้สัมผัสกระเป๋าของนักเดินทางมากมาย Guccio Gucci ได้กลับมาเปิดร้านเครื่องหนังที่ฟลอเรนซ์บ้านเกิดในปี ค.ศ. 1921 โดยมีสินค้าหลักคือกระเป๋าหนัง
ด้วยคุณภาพของเครื่องหนัง Gucci จึงสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้น และวางตำแหน่งให้กลายเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นสูง ก่อนจะขยายสินค้าไปทำถุงมือ เข็มขัด และเครื่องหนังสำหรับการขี่ม้าในเวลาต่อมา
Salvatore Ferragamo
นอกจากกระเป๋า อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้เครื่องหนัง ก็คือ “รองเท้า”
หลังจากเรียนกายวิภาคศาสตร์และใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานับสิบปี ช่างทำรองเท้า Salvatore Ferragamo ก็ได้กลับมาเปิดร้านรองเท้าของตัวเองที่ฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1927 และเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบรองเท้าส้นเตารีดหลายร้อยปีหลังจากยุคเรอแนซองซ์ ฟลอเรนซ์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของอิตาลีอีกครั้ง และยังเป็นศูนย์กลางของห้องเสื้อชั้นสูงของอิตาลี หรือเรียกในภาษาอิตาลีว่า Alta Moda
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ห่างไกลจากเขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้การคมนาคมขนส่งไม่สะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังห่างไกลจากลูกค้านักธุรกิจ ทำให้บรรดาดีไซเนอร์ต่างเริ่มย้ายโชว์รูมแฟชั่นไปตั้งยังเมืองทางตอนเหนือ คือ “มิลาน”
มิลาน ตั้งอยู่ใจกลางที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลี รายล้อมด้วยเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ มีระบบโครงข่าย ทั้งรถไฟ ถนน และแม่น้ำ และที่สำคัญ มิลาน เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์แห่งเดียวของอิตาลี สำนักของสื่อมวลชน และสถาบันการเงินมากมาย มิลานยังเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะและการออกแบบมากมาย ที่ถ่ายทอดความสามารถด้านศิลปะสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น
ทั้ง….
• Brera Academy สถาบันศิลปะที่มีอายุมากกว่า 200 ปี
• Domus Academy มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบแฟชั่น
• และ University of Milan มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน ซึ่งมีศิษย์เก่าคือ Giorgio Armani และ Miuccia Prada
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อิตาลีจะบอบช้ำจากสงคราม แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาผ่านแผนการมาร์แชลล์ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจอิตาลีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950s-1970s
เมื่อมีทั้งเงิน ลูกค้า และสถาบันการออกแบบ เศรษฐกิจของมิลานก็โตวันโตคืน อุตสาหกรรมที่ถูกวางให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอิตาลีก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
โดยหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญ ก็คือ ชาวอิตาลีที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาหลายล้านคน..
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่อพยพจากอิตาลีไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาก็เติบโตเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจอุปนิสัยที่โดดเด่นของชาวอิตาลี ก็คือการคงความสัมพันธ์กับเครือญาติอย่างแน่นแฟ้น ถึงแม้จะมาเป็นผู้อพยพในทวีปใหม่ ก็ยังคงไปมาหาสู่ให้ความช่วยเหลือญาติในบ้านเกิดอยู่เสมอ และพร้อมสนับสนุนสินค้าจากอิตาลี บ้านเกิดของตนเองอย่างเต็มที่ในฟลอเรนซ์ มีการจัดงานแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าชั้นสูงในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1951
ส่วนในมิลาน ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจยุคหลังสงคราม ดึงดูดให้เหล่าดีไซเนอร์พากันมาเปิดโชว์รูมแห่งแรกของแบรนด์ที่นี่ นำมาสู่การจัดตั้งหอการค้าแฟชั่นแห่งชาติอิตาลี หรือ Camera Nazionale della Moda Italiana ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เกิด Milan Fashion Week เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น ไม่นาน มิลานก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเทรนด์แฟชั่นโลกในช่วงทศวรรษ 1970s ด้วยการนำเสนอเสื้อผ้าสำเร็จรูป (Ready-to-wear) หรือศัพท์ในวงการแฟชั่นว่า Pret-a-porter ที่มีความสวยงาม สะดวก ราคาถูกลง แต่ยังคงความโก้หรู นับเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นครั้งสำคัญ และแจ้งเกิดแบรนด์เนมอิตาลีชื่อดัง
Giorgio Armani
หลังจากเป็นดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์มาหลายปี Giorgio Armani ได้ตัดสินใจขายรถ เพื่อก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองในปี ค.ศ. 1975 ด้วยสไตล์ที่เรียบง่าย แต่ชัดเจน เลือกใช้สีกลาง ๆ แต่ทําให้เสื้อผ้างามสง่า เมื่อ ได้ถูกเผยแพร่มายังสหรัฐอเมริกา ผ่านการออกแบบเสื้อผ้าให้ดาราฮอลลีวูด อย่าง Richard Gere แบรนด์ Giorgio Armani ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง และ ก้าวสู่จุดสูงสุดด้วยชุด “Power Suit” ในช่วงทศวรรษ 1980s
Versace
นักออกแบบจากอิตาลีตอนใต้ Gianni Versace ก่อตั้งแบรนด์ตัวเองในปี ค.ศ. 1978 โดยมีการนําสีสันที่อบอุ่นจากตอนใต้ และการใช้คู่สีที่สะดุดตามา ผสมผสานในงานออกแบบเสื้อผ้า ทําให้ได้เสื้อผ้าที่ฉูดฉาดและเซ็กซี่
Prada
จุดเริ่มต้นของ Prada ย้อนไปไกลถึงปี ค.ศ. 1913 จากการก่อตั้งโรงงาน เครื่องหนังของ Mario Prada แต่ผู้ที่ทําให้ Prada โด่งดังไปทั่วโลก คือหลานสาว Miuccia Prada
Miuccia Prada เป็นผู้ที่เลือกผ้าไนลอนมาทําเป็นกระเป๋าถือแทนการใช้ หนังสัตว์ จนทําให้กระเป๋าสีดำ Black Nylon Backpack โด่งดังไปทั่วโลกใน ช่วงปี ค.ศ. 1985 และเปลี่ยนโฉมหน้าของ Prada ให้มีสินค้าอื่น ๆ นอกจากกระเป๋า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ซึ่งภายหลัง Miuccia ก็ได้ตั้ง แบรนด์ลูกขึ้นมาภายใต้ชื่อ “Miu Miu
ด้วยความสามารถในการออกแบบของดีไซเนอร์อิตาลี นอกจากเสื้อผ้าแล้ว เหล่าแบรนด์เนมต่างก็ต่อยอดไปสู่สินค้าและบริการอื่น ๆ ทั้ง Giorgio Armani ที่มีกิจการร้านอาหารและโรงแรมหรู ส่วน Versace มีกิจการโรงแรม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ในครัวเรือนอิตาลี คือดินแดนแห่งอารยธรรมล้ําค่า นับตั้งแต่จักรวรรดิโรมัน นครรัฐในยุค เรอแนซองซ์ มาจนถึงยุครวมชาติอิตาลี
ถึงแม้อารยธรรมจะรุ่งเรืองและเสื่อมสลาย แต่สิ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้คือศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กลับไม่สามารถทําลายคุณค่าของดีไซน์อิตาลี
แม้เหล่าสินค้าแฟชั่นจะเจอความท้าทายจาก Fast fashion แต่ด้วย การออกแบบที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม และคุณภาพที่สั่งสมมานาน
แฟชั่นของอิตาลีจึงยังคงครองใจผู้คนทั้งโลก อย่างที่สินค้าเทคโนโลยีล้ําสมัยก็ทําอะไรไม่ได้ เทคโนโลยีผ่านเข้ามาและผ่านไป แต่ดีไซน์อิตาลีก็น่าจะยังคงยืนหยัด ตั้งตระหง่าน ไม่แพ้เสาโรมัน ที่เห็นทันทีก็รู้ว่า ต้นแบบแห่งการดีไซน์ ได้ถือกําเนิดขึ้น ที่ดินแดนแห่งนี้
ทำไมอิตาลี จึงเป็นประเทศแห่งแฟชั่นและดีไซน์ ?
รสนิยมด้านศิลปะของอิตาลีคือความเป็นเลิศ ทั้งความสง่างาม เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยทักษะในงานฝีมือ ทั้งหมดล้วนถ่ายทอด
ผ่านแบรนด์เครื่องแต่งกายอิตาลีที่คนทั้งโลกรู้จัก
Giorgio Armani คือนิยามของความเรียบหรูที่มีสไตล์ Prada เป็นต้นตำรับของคำว่า “น้อยแต่มาก”
ส่วนความฉูดฉาด และเซ็กซี่คือเสน่ห์อมตะของ Versace
แต่เอกลักษณ์ที่ทุกแบรนด์อิตาลีล้วนมีเหมือนกัน ก็คือ การทำให้จินตนาการสามารถนำมาสวมใส่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงชาวอิตาลีมีความพิถีพิถันในการแต่งกายอยู่ในสายเลือด ฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมการแต่งกายของโลกตะวันตกในยุคเรอแนซองซ์ และปัจจุบัน มิลาน คือ 1 ใน 4 เมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการแฟชั่นระดับโลก
อะไรที่ทำให้งานออกแบบของอิตาลีอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกแห่งเครื่องแต่งกาย ?
แฟชั่นอิตาลีถือกำเนิดก่อนที่อิตาลีจะก่อตั้งเป็นประเทศในยุคเรอแนซองซ์ นครรัฐฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางคาบสมุทรอิตาลี ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ของยุโรป
Arte della Lana หรือสมาคมค้าขนสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ถูกก่อตั้งในศตวรรษที่ 15 ซึ่งก่อให้เกิดการค้าขายที่คึกคัก ผลักดันให้เมืองแห่งนี้เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกตะวันตกภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลเมดิชี ฟลอเรนซ์รุ่งเรืองจนพ่วงตำแหน่งศูนย์กลางศิลปะ เป็นแหล่งรวมช่างฝีมือสาขาต่าง ๆ ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรมรวมไปถึงเครื่องแต่งกาย มีช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญการผสมสีและทอผ้าเฉพาะตัว ไปจนถึงเทคนิคการฟอกหนังที่ไม่เหมือนใคร และขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก
แคเทอรีน เดอ เมดิชี ชาวฟลอเรนซ์ที่ต่อมากลายมาเป็นราชินีของฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีที่สุดในยุคเรอแนซองซ์
แต่แฟชั่นคือกิจการของชนชั้นสูง เมื่อนครรัฐบนคาบสมุทรอิตาลีเริ่มเสื่อมถอยและความเจริญเคลื่อนย้ายไปยังยุโรปเหนือ แฟชั่นของอิตาลีก็ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยมีแฟชั่นฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในโลกตะวันตกแทน
เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 นครรัฐน้อยใหญ่บนคาบสมุทรอิตาลีก็รวมประเทศสำเร็จในปี ค.ศ. 1861 พร้อมรับอิทธิพลการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โดยมีเขตอุตสาหกรรมหนาแน่นในที่ราบตอนเหนือ
แต่ผลของการรวมประเทศ กลับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญรัฐทางภาคเหนือของอิตาลี ซึ่งมีเมืองใหญ่อย่างมิลานและตูริน ที่ร่ำรวยจากการเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ต่อเรือ สิ่งทอ และผลิตอาหาร ในขณะที่รัฐทางภาคใต้ยังคงเป็นเขตเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่จึงยังคงมีฐานะยากจน พื้นฐานในเขตภาคเหนือซ้ำยังต้องเสียภาษีเพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างความเหลื่อมล้ำนี้ ทำให้ในช่วงปี ค.ศ. 1890-1910 ชาวอิตาลีหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ ตัดสินใจอพยพหนีความแร้นแค้นไปตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐอเมริกา
แต่การรวมชาติก็ทําให้เกิดค่านิยมในการต่อต้านสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศส และหันมาใช้เสื้อผ้าที่ผลิตภายในอิตาลีมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อิตาลีเข้าสู่การปกครองในระบอบเผด็จการฟาสซิสต์เหล่านักออกแบบของอิตาลีจึงเริ่มสร้างสรรค์ “แบรนด์” เป็นของตัวเอง โดยมีเวทีแห่งแรกก็คือ ฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องหนังและการฟอกหนังมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
Gucci
หลังจากทำงานที่โรงแรมในกรุงลอนดอน และได้สัมผัสกระเป๋าของนักเดินทางมากมาย Guccio Gucci ได้กลับมาเปิดร้านเครื่องหนังที่ฟลอเรนซ์บ้านเกิดในปี ค.ศ. 1921 โดยมีสินค้าหลักคือกระเป๋าหนัง
ด้วยคุณภาพของเครื่องหนัง Gucci จึงสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้น และวางตำแหน่งให้กลายเป็นสินค้าสำหรับชนชั้นสูง ก่อนจะขยายสินค้าไปทำถุงมือ เข็มขัด และเครื่องหนังสำหรับการขี่ม้าในเวลาต่อมา
Salvatore Ferragamo
นอกจากกระเป๋า อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้เครื่องหนัง ก็คือ “รองเท้า”
หลังจากเรียนกายวิภาคศาสตร์และใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานับสิบปี ช่างทำรองเท้า Salvatore Ferragamo ก็ได้กลับมาเปิดร้านรองเท้าของตัวเองที่ฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1927 และเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบรองเท้าส้นเตารีดหลายร้อยปีหลังจากยุคเรอแนซองซ์ ฟลอเรนซ์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของอิตาลีอีกครั้ง และยังเป็นศูนย์กลางของห้องเสื้อชั้นสูงของอิตาลี หรือเรียกในภาษาอิตาลีว่า Alta Moda
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ห่างไกลจากเขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้การคมนาคมขนส่งไม่สะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังห่างไกลจากลูกค้านักธุรกิจ ทำให้บรรดาดีไซเนอร์ต่างเริ่มย้ายโชว์รูมแฟชั่นไปตั้งยังเมืองทางตอนเหนือ คือ “มิลาน”
มิลาน ตั้งอยู่ใจกลางที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลี รายล้อมด้วยเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ มีระบบโครงข่าย ทั้งรถไฟ ถนน และแม่น้ำ และที่สำคัญ มิลาน เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์แห่งเดียวของอิตาลี สำนักของสื่อมวลชน และสถาบันการเงินมากมาย มิลานยังเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะและการออกแบบมากมาย ที่ถ่ายทอดความสามารถด้านศิลปะสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น
ทั้ง….
• Brera Academy สถาบันศิลปะที่มีอายุมากกว่า 200 ปี
• Domus Academy มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบแฟชั่น
• และ University of Milan มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน ซึ่งมีศิษย์เก่าคือ Giorgio Armani และ Miuccia Prada
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อิตาลีจะบอบช้ำจากสงคราม แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาผ่านแผนการมาร์แชลล์ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจอิตาลีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950s-1970s
เมื่อมีทั้งเงิน ลูกค้า และสถาบันการออกแบบ เศรษฐกิจของมิลานก็โตวันโตคืน อุตสาหกรรมที่ถูกวางให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอิตาลีก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
โดยหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญ ก็คือ ชาวอิตาลีที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาหลายล้านคน..
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่อพยพจากอิตาลีไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาก็เติบโตเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจอุปนิสัยที่โดดเด่นของชาวอิตาลี ก็คือการคงความสัมพันธ์กับเครือญาติอย่างแน่นแฟ้น ถึงแม้จะมาเป็นผู้อพยพในทวีปใหม่ ก็ยังคงไปมาหาสู่ให้ความช่วยเหลือญาติในบ้านเกิดอยู่เสมอ และพร้อมสนับสนุนสินค้าจากอิตาลี บ้านเกิดของตนเองอย่างเต็มที่ในฟลอเรนซ์ มีการจัดงานแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าชั้นสูงในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1951
ส่วนในมิลาน ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจยุคหลังสงคราม ดึงดูดให้เหล่าดีไซเนอร์พากันมาเปิดโชว์รูมแห่งแรกของแบรนด์ที่นี่ นำมาสู่การจัดตั้งหอการค้าแฟชั่นแห่งชาติอิตาลี หรือ Camera Nazionale della Moda Italiana ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เกิด Milan Fashion Week เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น ไม่นาน มิลานก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเทรนด์แฟชั่นโลกในช่วงทศวรรษ 1970s ด้วยการนำเสนอเสื้อผ้าสำเร็จรูป (Ready-to-wear) หรือศัพท์ในวงการแฟชั่นว่า Pret-a-porter ที่มีความสวยงาม สะดวก ราคาถูกลง แต่ยังคงความโก้หรู นับเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นครั้งสำคัญ และแจ้งเกิดแบรนด์เนมอิตาลีชื่อดัง
Giorgio Armani
หลังจากเป็นดีไซเนอร์ฟรีแลนซ์มาหลายปี Giorgio Armani ได้ตัดสินใจขายรถ เพื่อก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองในปี ค.ศ. 1975 ด้วยสไตล์ที่เรียบง่าย แต่ชัดเจน เลือกใช้สีกลาง ๆ แต่ทําให้เสื้อผ้างามสง่า เมื่อ ได้ถูกเผยแพร่มายังสหรัฐอเมริกา ผ่านการออกแบบเสื้อผ้าให้ดาราฮอลลีวูด อย่าง Richard Gere แบรนด์ Giorgio Armani ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง และ ก้าวสู่จุดสูงสุดด้วยชุด “Power Suit” ในช่วงทศวรรษ 1980s
Versace
นักออกแบบจากอิตาลีตอนใต้ Gianni Versace ก่อตั้งแบรนด์ตัวเองในปี ค.ศ. 1978 โดยมีการนําสีสันที่อบอุ่นจากตอนใต้ และการใช้คู่สีที่สะดุดตามา ผสมผสานในงานออกแบบเสื้อผ้า ทําให้ได้เสื้อผ้าที่ฉูดฉาดและเซ็กซี่
Prada
จุดเริ่มต้นของ Prada ย้อนไปไกลถึงปี ค.ศ. 1913 จากการก่อตั้งโรงงาน เครื่องหนังของ Mario Prada แต่ผู้ที่ทําให้ Prada โด่งดังไปทั่วโลก คือหลานสาว Miuccia Prada
Miuccia Prada เป็นผู้ที่เลือกผ้าไนลอนมาทําเป็นกระเป๋าถือแทนการใช้ หนังสัตว์ จนทําให้กระเป๋าสีดำ Black Nylon Backpack โด่งดังไปทั่วโลกใน ช่วงปี ค.ศ. 1985 และเปลี่ยนโฉมหน้าของ Prada ให้มีสินค้าอื่น ๆ นอกจากกระเป๋า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ซึ่งภายหลัง Miuccia ก็ได้ตั้ง แบรนด์ลูกขึ้นมาภายใต้ชื่อ “Miu Miu
ด้วยความสามารถในการออกแบบของดีไซเนอร์อิตาลี นอกจากเสื้อผ้าแล้ว เหล่าแบรนด์เนมต่างก็ต่อยอดไปสู่สินค้าและบริการอื่น ๆ ทั้ง Giorgio Armani ที่มีกิจการร้านอาหารและโรงแรมหรู ส่วน Versace มีกิจการโรงแรม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ในครัวเรือนอิตาลี คือดินแดนแห่งอารยธรรมล้ําค่า นับตั้งแต่จักรวรรดิโรมัน นครรัฐในยุค เรอแนซองซ์ มาจนถึงยุครวมชาติอิตาลี
ถึงแม้อารยธรรมจะรุ่งเรืองและเสื่อมสลาย แต่สิ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้คือศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร กลับไม่สามารถทําลายคุณค่าของดีไซน์อิตาลี
แม้เหล่าสินค้าแฟชั่นจะเจอความท้าทายจาก Fast fashion แต่ด้วย การออกแบบที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม และคุณภาพที่สั่งสมมานาน
แฟชั่นของอิตาลีจึงยังคงครองใจผู้คนทั้งโลก อย่างที่สินค้าเทคโนโลยีล้ําสมัยก็ทําอะไรไม่ได้ เทคโนโลยีผ่านเข้ามาและผ่านไป แต่ดีไซน์อิตาลีก็น่าจะยังคงยืนหยัด ตั้งตระหง่าน ไม่แพ้เสาโรมัน ที่เห็นทันทีก็รู้ว่า ต้นแบบแห่งการดีไซน์ ได้ถือกําเนิดขึ้น ที่ดินแดนแห่งนี้