ไม่ว่าจะเป็น Ferrari หรือ Lamborghini ซูเปอร์คาร์ของอิตาลี คือสุดยอดของความหรูหราที่สะกดทุกสายตาเมื่อแล่นผ่านไม่ใช่แค่สมรรถนะที่สูงส่ง เปี่ยมไปด้วยขุมพลัง แต่ยังเป็นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือราคา ที่ “เหนือชั้น” ไม่แพ้อัตราความเร็วและความเร่ง...
นักออกแบบอิตาลีมีรสนิยมเป็นเลิศ มีสายตาพิเศษสําหรับสีสันและลายเส้นประกอบกันเป็นงานดีไซน์ที่ทั้งคลาสสิก เรียบหรู และดูโฉบเฉียวในคราวเดียวกัน นอกจาก 2 แบรนด์ซูเปอร์คาร์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี นักออกแบบอิตาลียังอยู่เบื้องหลังการออกแบบซูเปอร์คาร์อีกนับไม่ถ้วน
อะไรที่ทำให้ดีไซน์อิตาลีกลายเป็นมาตรฐานสากลของการออกแบบรถยนต์ทั่วโลก ?
อิตาลีเพิ่งก่อตั้งประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1861 แต่ความรุ่งเรืองของดินแดนบนคาบสมุทรแห่งนี้ย้อนไปนานกว่านั้นมาก จักรวรรดิโรมันเจริญก้าวหน้าเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล เป็นรากฐานอารยธรรมของโลกตะวันตก ทั้งภาษา สถาปัตยกรรม ตลอดจนวรรณกรรมและกฎหมาย ถึงแม้โรมันจะล่มสลาย พอมาถึงยุคเรอแนซองซ์ในศตวรรษที่ 14 นครรัฐฟลอเรนซ์ใจกลางอิตาลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้วางรากฐานวิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรม ไปจนถึงระบบการเงินการธนาคาร แต่สิ่งที่อิตาลีโดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็คือ “ศิลปะ”
ดินแดนแห่งนี้ให้กำเนิดศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบมากมายที่นำจินตนาการออกมาโลดแล่นบนโลกแห่งความเป็นจริง สถาปัตยกรรมรูปแบบคลาสสิกเรอแนซองซ์ บาโรก ล้วนมีต้นกำเนิดที่อิตาลี เช่นเดียวกับศิลปินชื่อก้องโลก ทั้งเลโอนาร์โด ดา วินซี, ซันโดร บอตติเชลลี และมีเกลันเจโล..
ความสามารถด้านศิลปะสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านสถาบันศิลปะทั่วอิตาลี ทั้ง Accademia di Belle Arti di Firenze luwala Brera Academy ในมิลาน แต่ละแห่งล้วนมีอายุมากกว่า 200 ปี มาจนถึงยุครวมชาติอิตาลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุโรปมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งแรก ๆ ก็คือ “ตูริน” หรือภาษาอิตาลีว่าโตริโน (Torino) เมืองหลวงแห่งแรกของอิตาลีหลังการรวมชาติ
ตูริน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี บนที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ซึ่งเป็นที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลี เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ
เหตุที่ตูรินเป็นเมืองหลวงแห่งแรก เพราะเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรซาวอย-ซาร์ดิเนีย ซึ่งทายาทแห่งราชวงศ์ซาวอย พระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเอเล่ 2 ต้องได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี
มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งแรกของอิตาลี ถูกก่อตั้งที่ตูริน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1859 ปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคแห่งตูริน หรือ Politecnico di Torino เป็นสถาบันที่เน้นทางด้านวิศวกรรม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ การออกแบบอุตสาหกรรม
ด้วยความพร้อมด้านวิศวกรรมและการออกแบบ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ถูกพัฒนาขึ้นในเยอรมนีช่วงทศวรรษ 1880s และเริ่มแพร่หลายไปทั่วยุโรป อุตสาหกรรมยานยนต์จึงออกสตาร์ทที่ตูรินเป็นเมืองแรกของอิตาลี
โรงงานยานยนต์แห่งเมืองตูริน หรือ Fabbrica Italiana Automobili Torino ซึ่งเขียนย่อว่า “FIAT” หรือ เฟียต ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899 โดยนักธุรกิจ Giovanni Agnelli และเริ่มมีการผลิตรถยนต์รุ่นแรก คือ 3 ½ CV และค่อย ๆ พัฒนาจนสามารถผลิตรถบรรทุก และเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน
ดีไซน์ของเฟียตแม้จะเรียบ ๆ แต่เน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอย จนเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในยุโรป รถยนต์เฟียตถูกนำมาทำเป็นแท็กซี่คอยรับส่งผู้คน ส่งผลให้เฟียตได้รับความนิยมมากขึ้น จนเติบโตกลายมาเป็น บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่สุดของอิตาลี ในปี ค.ศ. 1910
เมื่อการออกแบบรถยนต์ของอิตาลีเริ่มมีชื่อเสียง สถาบันด้านวิศวกรรมและเทคนิคหลายแห่งที่ถูกก่อตั้งทั่วอิตาลี ต่างผลิตนักออกแบบเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ของอิตาลีที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
โดยสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ก็คือ “ความเร็วและสมรรถนะ” และเพื่อแสดงสิ่งเหล่านี้ การแข่งขันรถยนต์จึงถูกจัดขึ้น โดยเริ่มแรกเฟียตในปี ค.ศ. 1894 ต่อมาการแข่งรถก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป รวมไปถึงอิตาลี หนึ่งในนั้นคือรายการ 1908 Circuito di Bologna ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโบโลญญา ทางตอนกลางของอิตาลี
และการแข่งขันนี้ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจของนักออกแบบรถที่ชื่อว่า Ferrari...
Enzo Ferrari เกิดในครอบครัวเจ้าของโรงงานเหล็กแห่งเมือง Modena ใกล้กับโบโลญญา ซึ่งชอบการแข่งรถและเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็ก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้กิจการของครอบครัวประสบปัญหา เฟอร์รารี จึงเริ่มต้นสะสมประสบการณ์การทำงาน ทั้งเป็นนักทดสอบรถยนต์ นักแข่งรถ รวมถึงช่างกลเครื่องยนต์ จนตัดสินใจตั้งบริษัท Scuderia Enzo Ferrari Automobili Corsa (SEFAC) ทำกิจการผลิตเครื่องยนต์รถแข่งและชิ้นส่วนเครื่องบิน
แต่ยังไม่ทันไร โรงงานของเขาก็ถูกระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามยุติลง เฟอร์รารี ก็กลับมาสร้างโรงงานขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1947 ในเมือง Maranello ซึ่งไม่ไกลจากเมือง Modena และในปีนั้นเอง เขาสร้างรถแข่งคันแรกสำเร็จในรุ่น 125 S
การแข่งขับรถยนต์เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้คำว่า “Supercar” โดยมีการใช้คำนี้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1920s แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอจนถึงช่วงทศวรรษ 1960s ถึงจะมีรถยนต์ที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับคำว่าซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง
ซึ่งรถที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกของโลกนั้นเป็นของ Lamborghini
Ferruccio Lamborghini เกิดในครอบครัวชาวนา แต่มีความใฝ่ฝันอยากขับรถแข่งและชอบเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็ก ลัมโบร์กินีเริ่มต้นแยกเครื่องจักรไถนาจากที่บ้าน ศึกษาและทำความเข้าใจกลงไกต่าง ๆ ด้วยตนเอง พ่อของเขาจึงตัดสินใจส่งให้เรียนต่อด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ที่ Fratelli Taddia Technical Institute สถาบันเทคนิคในเมืองโบโลญญา
หลังเรียนจบ และเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ลัมโบร์กินีเห็นว่าหลังสงครามต้องมีการฟื้นฟูด้านอุตสาหกรรมเกษตร จึงคิดค้นและพัฒนารถแทรกเตอร์ที่ปรับรูปแบบมาจากรถขนส่งทหารเก่าและก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังสงครามจบ น้ำมันเบนซินมีราคาแพงมาก รถแทรกเตอร์ของลัมโบร์กีนีที่สตาร์ตด้วยน้ำมันเบนซิน แต่ปฏิบัติการด้วยน้ำมันดีเซล ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
บริษัท Lamborghini Trattori ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1948 กลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ที่อยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศอิตาลี หลังจากเป็นเจ้าแห่งรถแทรกเตอร์ ลัมโบร์กีนีก็เริ่มซื้อรถสปอร์ตตามความใฝ่ฝันและแบรนด์ Ferrari ก็เป็นรถที่เขาเลือกเป็นอันดับแรก
แต่ในช่วงนั้น Ferrari ให้ความสำคัญและทุ่มเทกับรถในสนามแข่งมากจนละเลย รถสปอร์ตที่ผลิตขายทั่วไปตามท้องตลาด ลัมโบร์กีนีเจอปัญหาการใช้คลัตช์ใน Ferrari หลังจากส่งซ่อมอยู่หลายครั้งจนทนไม่ไหว จึงไปพบผู้ก่อตั้งพร้อมทั้งแนะนําวิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
“ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์แบบคุณ ไม่น่าจะมีคุณสมบัติมาวิพากษ์วิจารณ์รถแข่งของผมนะ”
คำตอบของเฟอร์รารี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ลัมโบร์กีนี่ตัดสินใจทำรถสปอร์ตของตัวเอง โดยก่อตั้ง Automobili Lamborghini ในปี ค.ศ. 1963 โดยมีคอนเซปต์ คือ“รถต้องเร็วที่สุด ประสิทธิภาพเยี่ยมที่สุด และใส่ใจลูกค้ามากที่สุด”
ลัมโบร์กีนี่ให้ความสำคัญกับทุก ๆ รายละเอียด และยกปัญหาทุกอย่างที่อยู่ในรถ Ferrari มาพัฒนา ศึกษาและแก้ไขให้ดีที่สุด จนในที่สุดก็ออกมาเป็น
รถคันแรกในรุ่น Lamborghini 350GTV ในปี ค.ศ. 1963 และรถ Lamborghini Miura ซึ่งถือเป็น “ซูเปอร์คาร์คันแรกของโลก” ในปี ค.ศ. 1966
Lamborghini Miura ปฏิวัติวงการรถสปอร์ต ด้วยการวางเครื่องยนต์อยู่ที่กลางตัวรถ (Mid-Engine) ทำให้น้ำหนักรถมีความสมดุล การกระจายน้ำหนักทำได้ดีทําให้เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังไปยังแกนล้อได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ ซูเปอร์คาร์รุ่นต่อ ๆ มาของแบรนด์อื่น ๆ พัฒนาตาม
คำว่าซูเปอร์คาร์ ในปัจจุบันนับเป็นคำที่มีความหมายอย่างหลวม ๆ แต่ถือกันว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4 วินาทีและสามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งหากจะนึกถึงแบรนด์ของซูเปอร์คาร์ ทั้ง Ferrari และ Lamborghini ถือเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมานาน ไม่ใช่แค่ทั้งความเร็วและสมรรถนะ นวัตกรรมเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย และเรื่องราวของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น Ferrari เน้นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว โค้งมน ส่วน Lamborghini เน้นความแข็งแกร่งและดุดัน
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 แบรนด์ก็ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าเศรษฐีผู้หลงใหลในความเร็วไม่เสื่อมคลาย แม้ในวันที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังถูกท้าทายจากรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วไปประสบปัญหา แบรนด์เหล่านี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบใด ๆเพราะสำหรับซูเปอร์คาร์อิตาลีแล้ว มันไม่เกี่ยวกับว่าอนาคตกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่มันเกี่ยวกับคุณค่าแบรนด์ที่สะสมมาตั้งแต่อดีตจนกลายเป็นตำนาน ที่หลายคนอยากครอบครอง
ทำไมอิตาลี จึงเป็นประเทศแห่งซูเปอร์คาร์ ?
ไม่ว่าจะเป็น Ferrari หรือ Lamborghini ซูเปอร์คาร์ของอิตาลี คือสุดยอดของความหรูหราที่สะกดทุกสายตาเมื่อแล่นผ่านไม่ใช่แค่สมรรถนะที่สูงส่ง เปี่ยมไปด้วยขุมพลัง แต่ยังเป็นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือราคา ที่ “เหนือชั้น” ไม่แพ้อัตราความเร็วและความเร่ง...
นักออกแบบอิตาลีมีรสนิยมเป็นเลิศ มีสายตาพิเศษสําหรับสีสันและลายเส้นประกอบกันเป็นงานดีไซน์ที่ทั้งคลาสสิก เรียบหรู และดูโฉบเฉียวในคราวเดียวกัน นอกจาก 2 แบรนด์ซูเปอร์คาร์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี นักออกแบบอิตาลียังอยู่เบื้องหลังการออกแบบซูเปอร์คาร์อีกนับไม่ถ้วน
อะไรที่ทำให้ดีไซน์อิตาลีกลายเป็นมาตรฐานสากลของการออกแบบรถยนต์ทั่วโลก ?
อิตาลีเพิ่งก่อตั้งประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1861 แต่ความรุ่งเรืองของดินแดนบนคาบสมุทรแห่งนี้ย้อนไปนานกว่านั้นมาก จักรวรรดิโรมันเจริญก้าวหน้าเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล เป็นรากฐานอารยธรรมของโลกตะวันตก ทั้งภาษา สถาปัตยกรรม ตลอดจนวรรณกรรมและกฎหมาย ถึงแม้โรมันจะล่มสลาย พอมาถึงยุคเรอแนซองซ์ในศตวรรษที่ 14 นครรัฐฟลอเรนซ์ใจกลางอิตาลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้วางรากฐานวิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรม ไปจนถึงระบบการเงินการธนาคาร แต่สิ่งที่อิตาลีโดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็คือ “ศิลปะ”
ดินแดนแห่งนี้ให้กำเนิดศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบมากมายที่นำจินตนาการออกมาโลดแล่นบนโลกแห่งความเป็นจริง สถาปัตยกรรมรูปแบบคลาสสิกเรอแนซองซ์ บาโรก ล้วนมีต้นกำเนิดที่อิตาลี เช่นเดียวกับศิลปินชื่อก้องโลก ทั้งเลโอนาร์โด ดา วินซี, ซันโดร บอตติเชลลี และมีเกลันเจโล..
ความสามารถด้านศิลปะสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านสถาบันศิลปะทั่วอิตาลี ทั้ง Accademia di Belle Arti di Firenze luwala Brera Academy ในมิลาน แต่ละแห่งล้วนมีอายุมากกว่า 200 ปี มาจนถึงยุครวมชาติอิตาลี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุโรปมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งแรก ๆ ก็คือ “ตูริน” หรือภาษาอิตาลีว่าโตริโน (Torino) เมืองหลวงแห่งแรกของอิตาลีหลังการรวมชาติ
ตูริน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี บนที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ซึ่งเป็นที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของอิตาลี เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศ
เหตุที่ตูรินเป็นเมืองหลวงแห่งแรก เพราะเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรซาวอย-ซาร์ดิเนีย ซึ่งทายาทแห่งราชวงศ์ซาวอย พระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเอเล่ 2 ต้องได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี
มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งแรกของอิตาลี ถูกก่อตั้งที่ตูริน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1859 ปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคแห่งตูริน หรือ Politecnico di Torino เป็นสถาบันที่เน้นทางด้านวิศวกรรม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ การออกแบบอุตสาหกรรม
ด้วยความพร้อมด้านวิศวกรรมและการออกแบบ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ถูกพัฒนาขึ้นในเยอรมนีช่วงทศวรรษ 1880s และเริ่มแพร่หลายไปทั่วยุโรป อุตสาหกรรมยานยนต์จึงออกสตาร์ทที่ตูรินเป็นเมืองแรกของอิตาลี
โรงงานยานยนต์แห่งเมืองตูริน หรือ Fabbrica Italiana Automobili Torino ซึ่งเขียนย่อว่า “FIAT” หรือ เฟียต ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899 โดยนักธุรกิจ Giovanni Agnelli และเริ่มมีการผลิตรถยนต์รุ่นแรก คือ 3 ½ CV และค่อย ๆ พัฒนาจนสามารถผลิตรถบรรทุก และเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน
ดีไซน์ของเฟียตแม้จะเรียบ ๆ แต่เน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอย จนเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในยุโรป รถยนต์เฟียตถูกนำมาทำเป็นแท็กซี่คอยรับส่งผู้คน ส่งผลให้เฟียตได้รับความนิยมมากขึ้น จนเติบโตกลายมาเป็น บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่สุดของอิตาลี ในปี ค.ศ. 1910
เมื่อการออกแบบรถยนต์ของอิตาลีเริ่มมีชื่อเสียง สถาบันด้านวิศวกรรมและเทคนิคหลายแห่งที่ถูกก่อตั้งทั่วอิตาลี ต่างผลิตนักออกแบบเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ของอิตาลีที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
โดยสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ก็คือ “ความเร็วและสมรรถนะ” และเพื่อแสดงสิ่งเหล่านี้ การแข่งขันรถยนต์จึงถูกจัดขึ้น โดยเริ่มแรกเฟียตในปี ค.ศ. 1894 ต่อมาการแข่งรถก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป รวมไปถึงอิตาลี หนึ่งในนั้นคือรายการ 1908 Circuito di Bologna ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโบโลญญา ทางตอนกลางของอิตาลี
และการแข่งขันนี้ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจของนักออกแบบรถที่ชื่อว่า Ferrari...
Enzo Ferrari เกิดในครอบครัวเจ้าของโรงงานเหล็กแห่งเมือง Modena ใกล้กับโบโลญญา ซึ่งชอบการแข่งรถและเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็ก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้กิจการของครอบครัวประสบปัญหา เฟอร์รารี จึงเริ่มต้นสะสมประสบการณ์การทำงาน ทั้งเป็นนักทดสอบรถยนต์ นักแข่งรถ รวมถึงช่างกลเครื่องยนต์ จนตัดสินใจตั้งบริษัท Scuderia Enzo Ferrari Automobili Corsa (SEFAC) ทำกิจการผลิตเครื่องยนต์รถแข่งและชิ้นส่วนเครื่องบิน
แต่ยังไม่ทันไร โรงงานของเขาก็ถูกระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามยุติลง เฟอร์รารี ก็กลับมาสร้างโรงงานขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1947 ในเมือง Maranello ซึ่งไม่ไกลจากเมือง Modena และในปีนั้นเอง เขาสร้างรถแข่งคันแรกสำเร็จในรุ่น 125 S
การแข่งขับรถยนต์เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้คำว่า “Supercar” โดยมีการใช้คำนี้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1920s แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอจนถึงช่วงทศวรรษ 1960s ถึงจะมีรถยนต์ที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับคำว่าซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง
ซึ่งรถที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกของโลกนั้นเป็นของ Lamborghini
Ferruccio Lamborghini เกิดในครอบครัวชาวนา แต่มีความใฝ่ฝันอยากขับรถแข่งและชอบเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็ก ลัมโบร์กินีเริ่มต้นแยกเครื่องจักรไถนาจากที่บ้าน ศึกษาและทำความเข้าใจกลงไกต่าง ๆ ด้วยตนเอง พ่อของเขาจึงตัดสินใจส่งให้เรียนต่อด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ที่ Fratelli Taddia Technical Institute สถาบันเทคนิคในเมืองโบโลญญา
หลังเรียนจบ และเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ลัมโบร์กินีเห็นว่าหลังสงครามต้องมีการฟื้นฟูด้านอุตสาหกรรมเกษตร จึงคิดค้นและพัฒนารถแทรกเตอร์ที่ปรับรูปแบบมาจากรถขนส่งทหารเก่าและก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังสงครามจบ น้ำมันเบนซินมีราคาแพงมาก รถแทรกเตอร์ของลัมโบร์กีนีที่สตาร์ตด้วยน้ำมันเบนซิน แต่ปฏิบัติการด้วยน้ำมันดีเซล ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
บริษัท Lamborghini Trattori ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1948 กลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ที่อยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศอิตาลี หลังจากเป็นเจ้าแห่งรถแทรกเตอร์ ลัมโบร์กีนีก็เริ่มซื้อรถสปอร์ตตามความใฝ่ฝันและแบรนด์ Ferrari ก็เป็นรถที่เขาเลือกเป็นอันดับแรก
แต่ในช่วงนั้น Ferrari ให้ความสำคัญและทุ่มเทกับรถในสนามแข่งมากจนละเลย รถสปอร์ตที่ผลิตขายทั่วไปตามท้องตลาด ลัมโบร์กีนีเจอปัญหาการใช้คลัตช์ใน Ferrari หลังจากส่งซ่อมอยู่หลายครั้งจนทนไม่ไหว จึงไปพบผู้ก่อตั้งพร้อมทั้งแนะนําวิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
“ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์แบบคุณ ไม่น่าจะมีคุณสมบัติมาวิพากษ์วิจารณ์รถแข่งของผมนะ”
คำตอบของเฟอร์รารี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ลัมโบร์กีนี่ตัดสินใจทำรถสปอร์ตของตัวเอง โดยก่อตั้ง Automobili Lamborghini ในปี ค.ศ. 1963 โดยมีคอนเซปต์ คือ“รถต้องเร็วที่สุด ประสิทธิภาพเยี่ยมที่สุด และใส่ใจลูกค้ามากที่สุด”
ลัมโบร์กีนี่ให้ความสำคัญกับทุก ๆ รายละเอียด และยกปัญหาทุกอย่างที่อยู่ในรถ Ferrari มาพัฒนา ศึกษาและแก้ไขให้ดีที่สุด จนในที่สุดก็ออกมาเป็น
รถคันแรกในรุ่น Lamborghini 350GTV ในปี ค.ศ. 1963 และรถ Lamborghini Miura ซึ่งถือเป็น “ซูเปอร์คาร์คันแรกของโลก” ในปี ค.ศ. 1966
Lamborghini Miura ปฏิวัติวงการรถสปอร์ต ด้วยการวางเครื่องยนต์อยู่ที่กลางตัวรถ (Mid-Engine) ทำให้น้ำหนักรถมีความสมดุล การกระจายน้ำหนักทำได้ดีทําให้เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังไปยังแกนล้อได้อย่างรวดเร็ว เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ ซูเปอร์คาร์รุ่นต่อ ๆ มาของแบรนด์อื่น ๆ พัฒนาตาม
คำว่าซูเปอร์คาร์ ในปัจจุบันนับเป็นคำที่มีความหมายอย่างหลวม ๆ แต่ถือกันว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4 วินาทีและสามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ซึ่งหากจะนึกถึงแบรนด์ของซูเปอร์คาร์ ทั้ง Ferrari และ Lamborghini ถือเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมานาน ไม่ใช่แค่ทั้งความเร็วและสมรรถนะ นวัตกรรมเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย และเรื่องราวของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น Ferrari เน้นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว โค้งมน ส่วน Lamborghini เน้นความแข็งแกร่งและดุดัน
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 แบรนด์ก็ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าเศรษฐีผู้หลงใหลในความเร็วไม่เสื่อมคลาย แม้ในวันที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังถูกท้าทายจากรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วไปประสบปัญหา แบรนด์เหล่านี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบใด ๆเพราะสำหรับซูเปอร์คาร์อิตาลีแล้ว มันไม่เกี่ยวกับว่าอนาคตกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่มันเกี่ยวกับคุณค่าแบรนด์ที่สะสมมาตั้งแต่อดีตจนกลายเป็นตำนาน ที่หลายคนอยากครอบครอง