ประสบการณ์ของผมในฐานะนักพนันกลับใจในตลาดหุ้น

เมื่อปี 2019 ผมเป็นนักศึกษาอยู่แต่มีความคิดหมกมุ่นเรื่องอยากรวย อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลาว่างจากเรียนก็จะอ่านข่าวเรื่องหุ้น

โชคร้ายไปเจอบทความของ Motley Fool ทำนายว่าหุ้นบริษัทยา Motif Bio จะทำ 2-3 เด้งถ้ายาปฏิชีวนะของบริษัทได้รับ FDA approval ผมที่มีความโลภเป็นทุนเดิมเลยกระโดดเข้าใส่เต็มๆ เอาเงินเก็บเก็บทั้งหมดไปลง ประมาณ 500,000 บาท

สรุปสั้นๆ ยาไม่ผ่านอย.สหรัฐ หุ้น Motif Bio ถูกเทขาย ผมขาดทุน 300,000 บาทในวันเดียว ตัดสินใจคัด loss ครับ  ช่วงนั้นเป็นกึ่งๆซึมเศร้าไปเลย คิดบ่อยๆว่าอยากตามคืนโดยการไปซื้อหุ้น penny stock ลุ้นโชคเสี่ยงดวงด้วยเงินที่เหลือ เป็นอยู่แบบนี้อยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ได้ทำจริง

สุดท้ายเกิดนึกขึ้นได้ว่า chase loss ได้แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ในวันข้างหน้า port ใหญ่ขึ้น จะตามเอา 300,000 บาทที่ขาดทุนไปในวันเดียวยังได้เลย แต่จะเอาตอนนี้เลยไม่ได้เพราะ port เล็ก หมายความว่าต้องยอมรับความเสี่ยงสูงมาก ไม่ต่างจากการพนันเลย

ผมเลยตัดสินใจเด็ดขาดไม่ซื้อหุ้นอีก จะซื้อแต่กองทุนหุ้น growth สะสมแบบ DCA เรื่อยๆ ช่วงนั้นเปิดดูคลิปคุณศิริวัฒน์ แซนวิชให้สัมภาษณ์ ซ้ำๆๆ ให้มันตกผลึกว่าความโลภมันน่ากลัวแค่ไหน จากเศรษฐีหลายร้อยล้านยังต้องมาขายแซนวิชโดนเทศกิจไล่ยังเกิดมาแล้ว ฯลฯ

เชื่อมั้ยครับ ผมใช้เวลานานถึง 2 ปีในการตามเอาเงิน 300,000 บาทที่ขาดทุนไปในตอนนั้นคืนมาได้ (มาทำได้ปี 2021 แต่ตอนนั้น portfolio ก็ใหญ่ขึ้นด้วย จากการใส่เงินเพิ่มเรื่อยๆ)

มันเป็นบทเรียนสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ ว่าความโลภตอนนั้น ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการสร้างความเสียหายที่ผมต้องใช้เวลาถึง 2 ปีในการแก้ปัญหา ความโลภจึงเป็นสิ่งที่ผมกลัวมาก ผมจึงยังคงทำเหมือนเดิม DCA ช้าๆแต่ชัวร์ในการลงทุน ถ้ามันช่วยให้ผมพลิกขาดทุนมาเท่าทุนได้ ทำไมมันจะทำให้ผมได้กำไร และ รวยในระยะยาวไม่ได้?

ตอนนี้ผ่านวันวิปโยคทางการเงินของผมมาแล้ว 6 ปี เหตุการณ์ยังตราตรึงใจผมเหมือนเดิม แต่พอร์ตผมโตขึ้นมาก และอาจจะได้จับเงิน 10 ล้านตอนอายุ 30 ปีอย่างที่เคยตั้งใจไว้ เป็นเพราะตัดสินใจในวันนั้นเมื่อ 6 ปีที่แล้วว่าจะไม่ chase loss ครับ ~


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่