กรุงเทพมหานคร, 3 กรกฎาคม 2568 – จากกรณีคนร้ายบุกกุฏิ
พระราชวัชรพัฒนาทร (ณรงค์ ปสนฺโน) เจ้าอาวาสวัดม่วง และเจ้าคณะเขตหนองแขม ลักทรัพย์เป็นเงินสด 10 ล้านบาท และทองคำแท่งหนัก 250 บาท รวมมูลค่ากว่า 22 ล้านบาท ล่าสุดเจ้าอาวาสได้ออกมายืนยันว่า
ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นเงินส่วนตัวที่เก็บสะสมมานานกว่า 40 ปี ไม่ใช่เงินของวัดแต่อย่างใด
พระราชวัชรพัฒนาทร เปิดเผยว่า เงินสด 10 ล้านบาทที่หายไปนั้น เป็นเงินที่เพิ่งเบิกมาจากธนาคารพร้อมคนสนิท 2 คน เพื่อเตรียมนำไป
ทำบุญวันเกิด โดยตั้งใจจะนำไปแจกนักเรียน นิมนต์พระมาทำบุญ และนำบางส่วนไปใช้ในการก่อสร้างเจดีย์ ส่วนทองคำที่เก็บไว้ก็เป็นการลงทุนส่วนตัวเช่นกัน
ท่านเจ้าอาวาสยืนยันว่า มีการ
แยกบัญชีเงินส่วนตัวออกจากบัญชีของวัดอย่างชัดเจน โดยเงินของวัดจะมีคณะกรรมการและไวยาวัจกรดูแลอย่างโปร่งใส ส่วนเงินส่วนตัวที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านบาท (รวมเงินสดและทองคำ) ได้เปิดบัญชีในชื่อของท่านเอง และเก็บไว้ในกุฏิแยกจากเงินของวัดที่เก็บไว้ในตู้เซฟอีกใบ
สำหรับกรณีที่มีการใช้กระดาษปิดบังกล้องวงจรปิดในกุฏิ เจ้าอาวาสชี้แจงว่า เป็นการกระทำของท่านเองเพื่อป้องกันภาพที่ไม่เหมาะสมขณะเปลี่ยนจีวร และจะนำกระดาษออกเมื่อมีการเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น
สำนักพุทธฯ และ บก.ปปป. ลงพื้นที่ตรวจสอบ
หลังจากเกิดเหตุ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เข้าตรวจสอบข้อมูลการเงินของวัดม่วงทันที แม้จะปฏิเสธการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน
ขณะเดียวกัน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับสำนักพุทธฯ โดยจะเน้นการสอบสวนที่มาของเงิน 10 ล้านบาท และทองคำน้ำหนัก 250 บาทอย่างละเอียด
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ต้องการพูดคุยกับเจ้าอาวาสโดยตรงเพื่อทราบข้อเท็จจริงว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสะสมส่วนตัว หรือมีที่มาที่ไปจากแหล่งอื่นใด พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงการเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในกุฏิแทนที่จะฝากธนาคาร
"หากตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติก็ไม่มีอะไร แต่หากตรวจพบข้อสงสัย หรืออะไรที่ไม่ถูกกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย" รอง ผบช.ก. กล่าวเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการสอบสวน
ข้อสงสัยเกี่ยวกับ "เงินวัด" และ "เงินส่วนตัว"
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นที่ระบุว่า ไวยาวัจกรของวัดอาจเป็นผู้แนะนำให้เจ้าอาวาสนำเงินไปลงทุนทองคำ แต่เงินกลับหายไป และย้ำว่า
หากเงินดังกล่าวเป็นเงินของวัดแล้วนำออกมาลงทุนเพื่อเก็งกำไร จะถือว่าผิดกฎหมาย เพราะเงินวัดจะต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของวัดหรือประชาชนเท่านั้น เช่น สร้างโรงเรียน บูรณะซ่อมแซมวัด โดยต้องมีหลักฐานชี้แจง
อย่างไรก็ตาม นางสมบุญ ธนธนาพร อุปัฏฐากและแม่ครัวของวัด ซึ่งอยู่ดูแลเจ้าอาวาสมานาน ยืนยันว่า หลวงพ่อสร้างและบูรณะศาลามาหลายแห่ง เชื่อว่าเงินและทองคำหายจริง ไม่มีการยักยอก เพราะเงินเป็นเงินส่วนตัวของหลวงพ่อที่ไม่มีภาระใดๆ และเชื่อว่าอาจเป็นฝีมือคนใกล้ชิด เนื่องจากกุฏิมีหลายชั้นและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าออกได้ รวมถึงคนขับรถที่อยู่กับเจ้าอาวาสมานานและสนิทสนมที่สุด
การตรวจสอบที่มาของเงินก้อนนี้ยังคงเป็นประเด็นหลักที่เจ้าหน้าที่ บก.ปปป. จะดำเนินการต่อไป โดยอาจใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากยังมีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบวัดอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ที่มา
https://mgronline.com/crime/detail/9680000062661
ที่มา
https://www.thairath.co.th/news/crime/2868227
เจ้าอาวาสวัดม่วงยันเงิน 22 ล้านที่หายเป็น "เงินส่วนตัว" เตรียมทำบุญวันเกิด-สร้างเจดีย์
พระราชวัชรพัฒนาทร เปิดเผยว่า เงินสด 10 ล้านบาทที่หายไปนั้น เป็นเงินที่เพิ่งเบิกมาจากธนาคารพร้อมคนสนิท 2 คน เพื่อเตรียมนำไป ทำบุญวันเกิด โดยตั้งใจจะนำไปแจกนักเรียน นิมนต์พระมาทำบุญ และนำบางส่วนไปใช้ในการก่อสร้างเจดีย์ ส่วนทองคำที่เก็บไว้ก็เป็นการลงทุนส่วนตัวเช่นกัน
ท่านเจ้าอาวาสยืนยันว่า มีการ แยกบัญชีเงินส่วนตัวออกจากบัญชีของวัดอย่างชัดเจน โดยเงินของวัดจะมีคณะกรรมการและไวยาวัจกรดูแลอย่างโปร่งใส ส่วนเงินส่วนตัวที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านบาท (รวมเงินสดและทองคำ) ได้เปิดบัญชีในชื่อของท่านเอง และเก็บไว้ในกุฏิแยกจากเงินของวัดที่เก็บไว้ในตู้เซฟอีกใบ
สำหรับกรณีที่มีการใช้กระดาษปิดบังกล้องวงจรปิดในกุฏิ เจ้าอาวาสชี้แจงว่า เป็นการกระทำของท่านเองเพื่อป้องกันภาพที่ไม่เหมาะสมขณะเปลี่ยนจีวร และจะนำกระดาษออกเมื่อมีการเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น
สำนักพุทธฯ และ บก.ปปป. ลงพื้นที่ตรวจสอบ
หลังจากเกิดเหตุ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เข้าตรวจสอบข้อมูลการเงินของวัดม่วงทันที แม้จะปฏิเสธการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับสำนักพุทธฯ โดยจะเน้นการสอบสวนที่มาของเงิน 10 ล้านบาท และทองคำน้ำหนัก 250 บาทอย่างละเอียด
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ต้องการพูดคุยกับเจ้าอาวาสโดยตรงเพื่อทราบข้อเท็จจริงว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสะสมส่วนตัว หรือมีที่มาที่ไปจากแหล่งอื่นใด พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงการเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในกุฏิแทนที่จะฝากธนาคาร
"หากตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติก็ไม่มีอะไร แต่หากตรวจพบข้อสงสัย หรืออะไรที่ไม่ถูกกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย" รอง ผบช.ก. กล่าวเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการสอบสวน
ข้อสงสัยเกี่ยวกับ "เงินวัด" และ "เงินส่วนตัว"
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นที่ระบุว่า ไวยาวัจกรของวัดอาจเป็นผู้แนะนำให้เจ้าอาวาสนำเงินไปลงทุนทองคำ แต่เงินกลับหายไป และย้ำว่า หากเงินดังกล่าวเป็นเงินของวัดแล้วนำออกมาลงทุนเพื่อเก็งกำไร จะถือว่าผิดกฎหมาย เพราะเงินวัดจะต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของวัดหรือประชาชนเท่านั้น เช่น สร้างโรงเรียน บูรณะซ่อมแซมวัด โดยต้องมีหลักฐานชี้แจง
อย่างไรก็ตาม นางสมบุญ ธนธนาพร อุปัฏฐากและแม่ครัวของวัด ซึ่งอยู่ดูแลเจ้าอาวาสมานาน ยืนยันว่า หลวงพ่อสร้างและบูรณะศาลามาหลายแห่ง เชื่อว่าเงินและทองคำหายจริง ไม่มีการยักยอก เพราะเงินเป็นเงินส่วนตัวของหลวงพ่อที่ไม่มีภาระใดๆ และเชื่อว่าอาจเป็นฝีมือคนใกล้ชิด เนื่องจากกุฏิมีหลายชั้นและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าออกได้ รวมถึงคนขับรถที่อยู่กับเจ้าอาวาสมานานและสนิทสนมที่สุด
การตรวจสอบที่มาของเงินก้อนนี้ยังคงเป็นประเด็นหลักที่เจ้าหน้าที่ บก.ปปป. จะดำเนินการต่อไป โดยอาจใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากยังมีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบวัดอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ที่มา https://mgronline.com/crime/detail/9680000062661
ที่มา https://www.thairath.co.th/news/crime/2868227