
นานมาแล้ว ณ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในภาคอีสานของสยามประเทศ มีนครหลวงชื่อว่า
“เอกชะทีตา” อันเป็นเมืองใหญ่อันรุ่งเรือง เจริญทั้งด้านการค้า การเกษตร และวัฒนธรรม
กษัตริย์ผู้ครองนครคือ
พระยาขอม เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม มีอำนาจบารมีและเป็นที่เคารพของผู้คน พระองค์มีพระธิดาองค์เดียวชื่อว่า
“นางไอ่คำ” หญิงสาวผู้เลอโฉม ปราดเปรื่อง อ่อนหวาน และงดงามเกินใคร
เพราะความรักและหวงแหนยิ่งนัก พระยาขอมจึงสร้าง
ปราสาท 7 ชั้น ไว้ให้พระธิดาอยู่อาศัยอย่างเงียบสงบ ป้องกันไม่ให้ชายใดได้พบเห็นโดยง่าย บรรดาสนมนางกำนัลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
คนทั้งเมืองต่างล่ำลือว่า... ใครได้เห็นหน้านางไอ่คำ จะต้องลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
ณ ดินแดนทางตะวันตก มีเมืองหนึ่งชื่อว่า
เมืองผาโพง ปกครองโดยกษัตริย์หนุ่มผู้เก่งกล้าชื่อว่า
ท้าวผาแดง เขาได้ยินกิตติศัพท์ความงามของนางไอ่คำมาเนิ่นนาน จนเกิดความอยากพบ อยากรู้ อยากเห็น ด้วยใจที่ฝังลึกเกินต้าน
ท้าวผาแดงจึง
ปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจร เดินทางข้ามเขตแดนมาถึงนครเอกชะทีตา พร้อมของกำนัลล้ำค่า และเงินทองติดตัวไม่น้อย
เมื่อไปถึง เขาใช้
สินบนลอบติดสินบนเหล่านางกำนัล เพื่อให้ช่วยส่งของขวัญไปถึงมือนางไอ่คำ พร้อมจดหมายบรรยายความในใจที่แม้ไม่เคยพบเจอ แต่กลับรู้สึกราวกับเคยรักกันมาเนิ่นนาน
เมื่อของขวัญและจดหมายตกถึงมือนางไอ่คำ หญิงสาวรู้สึกแปลกใจในความกล้าของชายผู้นี้ ยิ่งได้อ่านถ้อยคำในจดหมายก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเคยรู้จัก เคยใกล้ชิดกันมาก่อน
ด้วยแรงบุญและกรรมที่เคยร่วมสร้างร่วมเวรมาด้วยกันแต่ชาติปางก่อน...
ในที่สุด นางไอ่คำก็ยอมลอบพบกับท้าวผาแดงในยามค่ำคืน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างลึกซึ้ง
คืนแล้วคืนเล่า... ท้าวผาแดงลอบเข้าไปในปราสาทผ่านทางลับที่นางไอ่คำเตรียมไว้ ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยใจผูกพัน รักกันอย่างแท้จริง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท้าวผาแดงเอ่ยลา พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาพร้อม
ขบวนขันหมาก เพื่อทูลขอเธออย่างเป็นทางการ
เมื่อถึง
เดือนหก เป็นช่วงฤดูแห่งงานบุญบั้งไฟ เพื่อบูชาพญาแถน (เทพแห่งฝน) พระยาขอมก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า…
“ปีนี้... งานบุญบั้งไฟ จะใช้เป็นการ
ประกวดว่าที่เขยหลวง ใครจุดบั้งไฟขึ้นสูงที่สุด จะได้อภิเษกกับพระธิดาไอ่คำ!”
ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปทั่วทุกหัวเมือง ทั้งเมืองใหญ่ เมืองน้อย เมืองเหนือ เมืองใต้ ต่างส่งบั้งไฟมาประลองชัย
แม้แต่
เมืองบาดาลใต้พิภพ ที่พญานาคอาศัยอยู่ ก็ยังได้ยินเรื่องนี้
ใต้แม่น้ำลึกซึ่งเชื่อมต่อสู่เมืองนาค มีเจ้าชายพญานาคนามว่า
“ท้าวพังคี” เมื่อได้ยินเรื่องความงามของนางไอ่คำ จึงเกิดความสนใจอยากเห็นนางกับตา
เขาจึงจำแลงกายเป็น
“กระรอกเผือก” ตัวเล็กน่ารัก ผูกกระดิ่งสีเงินไว้ที่คอ แล้วขึ้นมาโผล่ในนครเอกชะทีตา
ในวันแข่งขันบั้งไฟ กระรอกเผือกตัวนี้วิ่งเล่นอยู่บนต้นไม้ใกล้ปราสาท จน
นางไอ่คำเห็นเข้าและเกิดหลงรัก อยากได้มาเลี้ยง
แต่นางจับไม่ได้ จึงสั่งให้พรานยิง
ลูกดอกจากคันธนูของพรานพุ่งฉึกกลางอกของกระรอกเผือก ก่อนจะขาดใจตาย มันได้กล่าวคำอธิษฐานสุดท้ายว่า...
“ขอให้เนื้อข้าจงได้ 8,000 เกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง”
เมื่อร่างกระรอกเผือกสิ้นใจ ร่างนั้นก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนน่าตกใจ คนทั้งเมืองแตกตื่นแห่กันมาดู ก่อนจะแห่กัน
แล่เนื้อกระรอกไปทำอาหารกิน เพราะเชื่อว่าเป็นเนื้อทิพย์จากสวรรค์
มีเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้กิน คือพวก “แม่ม่าย” ซึ่งชาวเมืองรังเกียจ ไม่ยอมแบ่งเนื้อให้กิน
เมื่อพญานาคทราบข่าวว่า ท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่า แล่เนื้อกินไม่เว้นแม้แต่กระดูก ก็พากันโกรธแค้นอย่างรุนแรง
คืนนั้น... ขณะชาวเมืองกำลังหลับใหล
ท้องฟ้ากลับมืดดำ ลมพายุเริ่มพัดแรง ฟ้าผ่ากึกก้อง เสียงพญานาคคำรามสะเทือนฟ้าดิน แผ่นดินเริ่มถล่มอย่างช้า ๆ
เหล่าพญานาค
ผุดขึ้นจากใต้ดินเป็นหมื่น ๆ ตน ม้วนตัวถล่มเมือง ปราสาท บ้านเรือน ถนนหนทาง ทุกสิ่งพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว
ท้าวผาแดงที่มาร่วมงานและเห็นเหตุการณ์ รีบ
ควบม้า “บักสาม” มุ่งหน้าไปรับนางไอ่คำออกจากเมือง
แม้จะหนีไปไกลแค่ไหน แผ่นดินก็ยังคงถล่มตามมาดังเงาติดตัว
จนในที่สุด ขณะกำลังข้ามแนวป่าก่อนพ้นเขตเมือง ทั้ง
ท้าวผาแดง นางไอ่คำ และบักสาม ก็ถูก
กลืนหายลงไปใต้บาดาล พร้อมกัน
รุ่งเช้า...
เมืองเอกชะทีตา
อันเคยรุ่งเรือง ได้อันตธานหายไปจากแผ่นดิน
เหลือไว้เพียง
ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล ที่เรียกกันต่อมาว่า
“หนองหารหลวง” และยังมี
เกาะเล็ก 3-4 แห่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่รอดชีวิตของพวกแม่ม่ายผู้ไม่ได้กินเนื้อกระรอก
หากเนื้อหาผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องตรงใหนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะ
ตำนานผาแดงนางไอ่ หนองหาร จ.สกลนคร ตำนานรักเมืองล่ม
นานมาแล้ว ณ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในภาคอีสานของสยามประเทศ มีนครหลวงชื่อว่า “เอกชะทีตา” อันเป็นเมืองใหญ่อันรุ่งเรือง เจริญทั้งด้านการค้า การเกษตร และวัฒนธรรม
กษัตริย์ผู้ครองนครคือ พระยาขอม เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม มีอำนาจบารมีและเป็นที่เคารพของผู้คน พระองค์มีพระธิดาองค์เดียวชื่อว่า “นางไอ่คำ” หญิงสาวผู้เลอโฉม ปราดเปรื่อง อ่อนหวาน และงดงามเกินใคร
เพราะความรักและหวงแหนยิ่งนัก พระยาขอมจึงสร้าง ปราสาท 7 ชั้น ไว้ให้พระธิดาอยู่อาศัยอย่างเงียบสงบ ป้องกันไม่ให้ชายใดได้พบเห็นโดยง่าย บรรดาสนมนางกำนัลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
คนทั้งเมืองต่างล่ำลือว่า... ใครได้เห็นหน้านางไอ่คำ จะต้องลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
ณ ดินแดนทางตะวันตก มีเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองผาโพง ปกครองโดยกษัตริย์หนุ่มผู้เก่งกล้าชื่อว่า ท้าวผาแดง เขาได้ยินกิตติศัพท์ความงามของนางไอ่คำมาเนิ่นนาน จนเกิดความอยากพบ อยากรู้ อยากเห็น ด้วยใจที่ฝังลึกเกินต้าน
ท้าวผาแดงจึง ปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจร เดินทางข้ามเขตแดนมาถึงนครเอกชะทีตา พร้อมของกำนัลล้ำค่า และเงินทองติดตัวไม่น้อย
เมื่อไปถึง เขาใช้ สินบนลอบติดสินบนเหล่านางกำนัล เพื่อให้ช่วยส่งของขวัญไปถึงมือนางไอ่คำ พร้อมจดหมายบรรยายความในใจที่แม้ไม่เคยพบเจอ แต่กลับรู้สึกราวกับเคยรักกันมาเนิ่นนาน
เมื่อของขวัญและจดหมายตกถึงมือนางไอ่คำ หญิงสาวรู้สึกแปลกใจในความกล้าของชายผู้นี้ ยิ่งได้อ่านถ้อยคำในจดหมายก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเคยรู้จัก เคยใกล้ชิดกันมาก่อน
ด้วยแรงบุญและกรรมที่เคยร่วมสร้างร่วมเวรมาด้วยกันแต่ชาติปางก่อน...
ในที่สุด นางไอ่คำก็ยอมลอบพบกับท้าวผาแดงในยามค่ำคืน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างลึกซึ้ง
คืนแล้วคืนเล่า... ท้าวผาแดงลอบเข้าไปในปราสาทผ่านทางลับที่นางไอ่คำเตรียมไว้ ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยใจผูกพัน รักกันอย่างแท้จริง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท้าวผาแดงเอ่ยลา พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาพร้อม ขบวนขันหมาก เพื่อทูลขอเธออย่างเป็นทางการ
เมื่อถึง เดือนหก เป็นช่วงฤดูแห่งงานบุญบั้งไฟ เพื่อบูชาพญาแถน (เทพแห่งฝน) พระยาขอมก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า…
“ปีนี้... งานบุญบั้งไฟ จะใช้เป็นการ ประกวดว่าที่เขยหลวง ใครจุดบั้งไฟขึ้นสูงที่สุด จะได้อภิเษกกับพระธิดาไอ่คำ!”
ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปทั่วทุกหัวเมือง ทั้งเมืองใหญ่ เมืองน้อย เมืองเหนือ เมืองใต้ ต่างส่งบั้งไฟมาประลองชัย
แม้แต่ เมืองบาดาลใต้พิภพ ที่พญานาคอาศัยอยู่ ก็ยังได้ยินเรื่องนี้
ใต้แม่น้ำลึกซึ่งเชื่อมต่อสู่เมืองนาค มีเจ้าชายพญานาคนามว่า “ท้าวพังคี” เมื่อได้ยินเรื่องความงามของนางไอ่คำ จึงเกิดความสนใจอยากเห็นนางกับตา
เขาจึงจำแลงกายเป็น “กระรอกเผือก” ตัวเล็กน่ารัก ผูกกระดิ่งสีเงินไว้ที่คอ แล้วขึ้นมาโผล่ในนครเอกชะทีตา
ในวันแข่งขันบั้งไฟ กระรอกเผือกตัวนี้วิ่งเล่นอยู่บนต้นไม้ใกล้ปราสาท จน นางไอ่คำเห็นเข้าและเกิดหลงรัก อยากได้มาเลี้ยง
แต่นางจับไม่ได้ จึงสั่งให้พรานยิง
ลูกดอกจากคันธนูของพรานพุ่งฉึกกลางอกของกระรอกเผือก ก่อนจะขาดใจตาย มันได้กล่าวคำอธิษฐานสุดท้ายว่า...
“ขอให้เนื้อข้าจงได้ 8,000 เกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง”
เมื่อร่างกระรอกเผือกสิ้นใจ ร่างนั้นก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนน่าตกใจ คนทั้งเมืองแตกตื่นแห่กันมาดู ก่อนจะแห่กัน แล่เนื้อกระรอกไปทำอาหารกิน เพราะเชื่อว่าเป็นเนื้อทิพย์จากสวรรค์
มีเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้กิน คือพวก “แม่ม่าย” ซึ่งชาวเมืองรังเกียจ ไม่ยอมแบ่งเนื้อให้กิน
เมื่อพญานาคทราบข่าวว่า ท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่า แล่เนื้อกินไม่เว้นแม้แต่กระดูก ก็พากันโกรธแค้นอย่างรุนแรง
คืนนั้น... ขณะชาวเมืองกำลังหลับใหล
ท้องฟ้ากลับมืดดำ ลมพายุเริ่มพัดแรง ฟ้าผ่ากึกก้อง เสียงพญานาคคำรามสะเทือนฟ้าดิน แผ่นดินเริ่มถล่มอย่างช้า ๆ
เหล่าพญานาค ผุดขึ้นจากใต้ดินเป็นหมื่น ๆ ตน ม้วนตัวถล่มเมือง ปราสาท บ้านเรือน ถนนหนทาง ทุกสิ่งพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว
ท้าวผาแดงที่มาร่วมงานและเห็นเหตุการณ์ รีบ ควบม้า “บักสาม” มุ่งหน้าไปรับนางไอ่คำออกจากเมือง
แม้จะหนีไปไกลแค่ไหน แผ่นดินก็ยังคงถล่มตามมาดังเงาติดตัว
จนในที่สุด ขณะกำลังข้ามแนวป่าก่อนพ้นเขตเมือง ทั้ง ท้าวผาแดง นางไอ่คำ และบักสาม ก็ถูก กลืนหายลงไปใต้บาดาล พร้อมกัน
รุ่งเช้า...
เมืองเอกชะทีตา อันเคยรุ่งเรือง ได้อันตธานหายไปจากแผ่นดิน
เหลือไว้เพียง ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล ที่เรียกกันต่อมาว่า “หนองหารหลวง” และยังมี เกาะเล็ก 3-4 แห่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่รอดชีวิตของพวกแม่ม่ายผู้ไม่ได้กินเนื้อกระรอก
หากเนื้อหาผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องตรงใหนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะ