"ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิด บางครั้งก็กลายเป็นครูที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำหน้าที่ในสถานที่ที่ไม่เคยคิดว่าจะไป... ศาล"
....จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
เหตุการณ์นี้เริ่มจากคำขอของญาติใกล้ชิดที่ไว้วางใจให้ผมเข้าไปช่วยตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ในภาคอีสาน ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดกลาง และในช่วงที่ผมเข้าไปตรวจนั้น งานก่อสร้างอยู่ในขั้นตอนของงานสถาปัตยกรรม เช่น งานก่ออิฐและงานตกแต่งเบื้องต้น
...เมื่อไปถึงหน้างาน สิ่งแรกที่สังเกตได้คือไม่มีผู้รับเหมาหรือทีมงานอยู่ในพื้นที่ ผมจึงเริ่มต้นตรวจสอบตามหน้าที่อย่างละเอียด ไล่ดูตั้งแต่บนลงล่าง ซ้ายไปขวา ทั่วทั้งโครงการ ซึ่งพบว่างานหลายส่วนยังไม่เรียบร้อยตามมาตรฐาน และยังไม่ครบถ้วนตามที่ควรเป็น
คำถามในใจวิศวกร
หนึ่งในสิ่งที่กระตุ้นให้ผมตั้งคำถามขึ้นมาคือ:
"ควรทำโครงสร้างหลักของตัวบ้านให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนหรือไม่ ก่อนจะเข้าสู่งานตกแต่งสถาปัตย์?”
ในความเห็นทางวิชาชีพ ผมมองว่างานโครงสร้างหลักต้องเสร็จก่อน เพราะหากข้ามขั้นไปทำงานสถาปัตย์ก่อน อาจเกิดปัญหาซ้ำซ้อนที่ย้อนกลับมาแก้ได้ยาก และส่งผลทั้งในเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย
จากหน้างาน...สู่ศาล ของจริง
เมื่อผมรายงานเจ้าของบ้านถึงปัญหาที่พบ ผมได้แนะนำให้มีการเจรจากับผู้รับเหมาเพื่อให้กลับมาทำงานต่อให้เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อลงเอยด้วยการเจรจาไม่ได้ จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง และเจ้าของบ้านได้ขอให้ผมเป็นพยานในคดีนี้
ช่วงก่อนขึ้นศาล เป็นช่วงที่ผมต้องเตรียมตัวอย่างมาก ผมตั้งคำถามกับตัวเองหลายข้อ เช่น:
..หากแพ้คดี จะมีผลกับตัวเราหรือไม่?
..ควรพูดอะไร? และไม่ควรพูดอะไร?
..ค่าตอบแทนของงานนี้ควรคิดอย่างไร?
..ใครที่เราควรปรึกษาในเรื่องแบบนี้?
..มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้หรือเปล่า?
โชคดีที่ผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมสายอาชีพ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ซึ่งช่วยให้ผมเตรียมตัวได้ดีขึ้น ขอขอบพระคุณพี่ๆแต่ท่านอาจารย์อีกครั้ง
ประสบการณ์ในศาล: ไม่ง่าย...แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย
ในวันที่ต้องขึ้นศาล ผมพบว่าก่อนเข้าสู่การพิจารณาคดีจริง ยังมีขั้นตอนของการไกล่เกลี่ยโดยเจ้าหน้าที่กลาง ซึ่งช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอีกครั้ง บรรยากาศช่วงแรกอาจตึงเครียด แต่เมื่อมีการเจรจาอย่างจริงใจ บางประเด็นก็สามารถตกลงกันได้
..อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังคงต้องดำเนินต่อ เพราะฝ่ายจำเลยยังไม่ยินยอมแก้ไขงานในบางจุด จึงต้องตรวจสอบร่วมกันเพิ่มเติมภายหลัง
...เมื่อถึงวันที่นัดตรวจสอบที่หน้างานจริงทั้งสองฝ่ายก่อนกลับไปศาลจะมาเล่าต่อครับ
บทเรียนที่อยากฝากไว้ในบทนี้
การทำงานวิศวกรรมไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ข้อกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ
การเจรจาก่อนฟ้องศาลคือทางออกที่ดีที่สุด หากมีคนกลางที่น่าเชื่อถือ ก็อาจช่วยป้องกันปัญหาลุกลาม
หากมีโอกาสเป็นพยาน ควร พูดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน อย่างชัดเจน และ ไม่กล่าวหาฝ่ายใดเกินกว่าเหตุ
การเตรียมตัวล่วงหน้า และการปรึกษาผู้รู้ด้านกฎหมายมีความสำคัญมาก
สรุปส่งท้าย แต่ไม่ท้ายสุด เพราะมีภาคต่อ
...การเป็นวิศวกรไม่ได้มีแค่หน้าที่คุมงานหรือออกแบบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำหน้าที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญต่อหน้าศาลเมื่อจำเป็น เพราะในที่สุดแล้ว ความจริงและความซื่อตรงในวิชาชีพคือสิ่งที่จะปกป้องเราในทุกสถานการณ์
...หากบทความนี้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับน้องๆ วิศวกรรุ่นใหม่ หรือผู้ที่ทำงานในสายงานก่อสร้างได้เข้าใจมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมหวังไว้จากการแบ่งปันเรื่องราวนี้
ขอบพระคุณครับ 💚
เมื่อวิศวกรต้องขึ้นศาล: บทเรียนจากหน้างานสู่บัลลังก์ 1
"ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิด บางครั้งก็กลายเป็นครูที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำหน้าที่ในสถานที่ที่ไม่เคยคิดว่าจะไป... ศาล"
....จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
เหตุการณ์นี้เริ่มจากคำขอของญาติใกล้ชิดที่ไว้วางใจให้ผมเข้าไปช่วยตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ในภาคอีสาน ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดกลาง และในช่วงที่ผมเข้าไปตรวจนั้น งานก่อสร้างอยู่ในขั้นตอนของงานสถาปัตยกรรม เช่น งานก่ออิฐและงานตกแต่งเบื้องต้น
...เมื่อไปถึงหน้างาน สิ่งแรกที่สังเกตได้คือไม่มีผู้รับเหมาหรือทีมงานอยู่ในพื้นที่ ผมจึงเริ่มต้นตรวจสอบตามหน้าที่อย่างละเอียด ไล่ดูตั้งแต่บนลงล่าง ซ้ายไปขวา ทั่วทั้งโครงการ ซึ่งพบว่างานหลายส่วนยังไม่เรียบร้อยตามมาตรฐาน และยังไม่ครบถ้วนตามที่ควรเป็น
คำถามในใจวิศวกร
หนึ่งในสิ่งที่กระตุ้นให้ผมตั้งคำถามขึ้นมาคือ:
"ควรทำโครงสร้างหลักของตัวบ้านให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนหรือไม่ ก่อนจะเข้าสู่งานตกแต่งสถาปัตย์?”
ในความเห็นทางวิชาชีพ ผมมองว่างานโครงสร้างหลักต้องเสร็จก่อน เพราะหากข้ามขั้นไปทำงานสถาปัตย์ก่อน อาจเกิดปัญหาซ้ำซ้อนที่ย้อนกลับมาแก้ได้ยาก และส่งผลทั้งในเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย
จากหน้างาน...สู่ศาล ของจริง
เมื่อผมรายงานเจ้าของบ้านถึงปัญหาที่พบ ผมได้แนะนำให้มีการเจรจากับผู้รับเหมาเพื่อให้กลับมาทำงานต่อให้เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อลงเอยด้วยการเจรจาไม่ได้ จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง และเจ้าของบ้านได้ขอให้ผมเป็นพยานในคดีนี้
ช่วงก่อนขึ้นศาล เป็นช่วงที่ผมต้องเตรียมตัวอย่างมาก ผมตั้งคำถามกับตัวเองหลายข้อ เช่น:
..หากแพ้คดี จะมีผลกับตัวเราหรือไม่?
..ควรพูดอะไร? และไม่ควรพูดอะไร?
..ค่าตอบแทนของงานนี้ควรคิดอย่างไร?
..ใครที่เราควรปรึกษาในเรื่องแบบนี้?
..มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้หรือเปล่า?
โชคดีที่ผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมสายอาชีพ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ซึ่งช่วยให้ผมเตรียมตัวได้ดีขึ้น ขอขอบพระคุณพี่ๆแต่ท่านอาจารย์อีกครั้ง
ประสบการณ์ในศาล: ไม่ง่าย...แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย
ในวันที่ต้องขึ้นศาล ผมพบว่าก่อนเข้าสู่การพิจารณาคดีจริง ยังมีขั้นตอนของการไกล่เกลี่ยโดยเจ้าหน้าที่กลาง ซึ่งช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอีกครั้ง บรรยากาศช่วงแรกอาจตึงเครียด แต่เมื่อมีการเจรจาอย่างจริงใจ บางประเด็นก็สามารถตกลงกันได้
..อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังคงต้องดำเนินต่อ เพราะฝ่ายจำเลยยังไม่ยินยอมแก้ไขงานในบางจุด จึงต้องตรวจสอบร่วมกันเพิ่มเติมภายหลัง
...เมื่อถึงวันที่นัดตรวจสอบที่หน้างานจริงทั้งสองฝ่ายก่อนกลับไปศาลจะมาเล่าต่อครับ
บทเรียนที่อยากฝากไว้ในบทนี้
การทำงานวิศวกรรมไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ข้อกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ
การเจรจาก่อนฟ้องศาลคือทางออกที่ดีที่สุด หากมีคนกลางที่น่าเชื่อถือ ก็อาจช่วยป้องกันปัญหาลุกลาม
หากมีโอกาสเป็นพยาน ควร พูดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน อย่างชัดเจน และ ไม่กล่าวหาฝ่ายใดเกินกว่าเหตุ
การเตรียมตัวล่วงหน้า และการปรึกษาผู้รู้ด้านกฎหมายมีความสำคัญมาก
สรุปส่งท้าย แต่ไม่ท้ายสุด เพราะมีภาคต่อ
...การเป็นวิศวกรไม่ได้มีแค่หน้าที่คุมงานหรือออกแบบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำหน้าที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญต่อหน้าศาลเมื่อจำเป็น เพราะในที่สุดแล้ว ความจริงและความซื่อตรงในวิชาชีพคือสิ่งที่จะปกป้องเราในทุกสถานการณ์
...หากบทความนี้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับน้องๆ วิศวกรรุ่นใหม่ หรือผู้ที่ทำงานในสายงานก่อสร้างได้เข้าใจมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมหวังไว้จากการแบ่งปันเรื่องราวนี้
ขอบพระคุณครับ 💚