รู้จัก ‘ไดสันสเฟียร์’ กรงขังดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ ที่เอเลี่ยนอาจสร้างขึ้นจริง

ตามปกติแล้วเวลาที่นักดาราศาสตร์บนโลกจะตรวจจับสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ที่อยู่บนดาวเคราะห์นอกระบบไกลออกไปหลายปีแสง พวกเขาก็มักจะใช้วิธีการค้นหาร่องรอยทางชีวภาพ หรือที่เรียกว่า 'ไบโอซิกเนเจอร์' (Biosignature) ยกตัวอย่าง เช่น ปริมาณออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นแก๊สที่ไปจับพันธะกับธาตุอื่น ๆ ได้ง่าย
เพราะฉะนั้นแล้วหากดาวดวงไหนมีออกซิเจนอยู่เป็นปริมาณมาก เราก็อาจจะพออนุมานหรือตั้งสมมติฐานได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างคอยผลิตออกซิเจนออกมาเรื่อย ๆ อยู่เสมอ คล้ายกับพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดบนโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อใช้วิธีการนี้มีก็ข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือมันไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่มีชีวิตที่เราอาจเจอนั้นจะทรงภูมิปัญญาและมีสติรู้คิดเฉกเช่นมนุษย์หรือไม่
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักดาราศาสตร์บางส่วนได้เสนอวิธีการตรวจจับอารยธรรมต่างดาวด้วยการค้นหาร่องรอยทางเทคโนโลยี (Technosignature) มาใช้ควบคุมกับการค้นหาร่องรอยทางชีวภาพ ซึ่งร่องรอยทางเทคโนโลยีนี้จะมีเพียงแค่อารยธรรมที่ทรงภูมิปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถทิ้งร่องรอยนี้ไว้ได้
หนึ่งในเทคโนโลยีดังกล่าวก็คือ 'ไดสันสเฟียร์' (Dyson Sphere) โครงสร้างในจินตนาการที่มีรากฐานวิทยาศาสตร์จากคุณ ฟรีแมน ไดสัน (Freeman Dyson) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษผู้โด่งดังที่ได้ตั้งสมมติฐานถึง โครงสร้างขนาดยักษ์ที่สามารถห้อมล้อมดาวฤกษ์ได้ทั้งดวง หรือบางส่วน คล้ายกับกรง เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานของดาวฤกษ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหากว่ากันตามทฤษฎีแล้วโครงสร้างนี้ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะรบกวนแสงของดาวฤกษ์จนเราสามารถสังเกตการณ์ได้จากบนโลกเลยทีเดียว
โดยแนวคิดไดสันสเฟียร์นี้ได้รับการพัฒนามาจากแนวโน้มที่ว่ามนุษย์มักใช้พลังงานเยอะขึ้น ตามเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นไปด้วย เมื่อเรามองย้อนกลับไปในสมัยที่เราปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เชื้อเพลิงหลักของเราก็คือถ่านหินที่ไว้ใช้ต้มน้ำเพื่อสร้างไอน้ำความดันสูงสำหรับขับเคลื่อนเครื่องจักรต่าง ๆ ในโรงงาน แต่ในตอนนี้เราใช้ทั้ง น้ำมัน แก๊ส แสงอาทิตย์ ลม รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์มาผลักอารยธรรมมนุษย์ของเราไปข้างหน้า
ซึ่งสามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นผ่านมาตรวัดคาร์ดาเชฟ (Kadashev Scale) ที่เป็นมาตรวัดที่แบ่งระดับการใช้พลังงานของอารยธรรมในจักรวาลเป็น 3 ระดับ ได้แก่
อารยธรรมระดับที่ 1 เผ่าพันธุ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวพลังงานทั้งหมดจากดาวเคราะห์บ้านเกิด
อารยธรรมระดับที่ 2 เผ่าพันธุ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวพลังงานทั้งหมดจากดาวฤกษ์ในระบบดาวของตนได้
อารยธรรมระดับที่ 3 เผ่าพันธุ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวพลังงานจากทั้งกาแล็กซี่
ในปัจจุบันงานวิจัยหลายฉบับเสนอว่ามนุษย์เป็นอารยธรรมที่อยู่ในระดับประมาณ 0.7 แล้ว และจะใช้เวลาอีกประมาณ 300-400 นี้ในการพัฒนาไปเป็นอารยธรรมระดับที่ 1 อย่างเต็มตัว และถ้ามนุษย์ยังไม่สูญพันธุ์ไปในอนาคต เราก็หาวิธีเก็บเกี่ยวพลังงานจากดวงอาทิตย์ของเราต่อไปอีก
ลองนึกภาพดูว่าโลกเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ ไม่ต่างอะไรไปจากเศษฝุ่นที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เราได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์เพียงแค่ 0.00000005% เท่านั้น ส่วนอีกกว่า 99.99999995% ที่เหลือกลับแผ่กระจายไปในอวกาศอย่างเสียเปล่า ดังนั้นแล้วแนวคิดไดสันสเฟียร์จึงเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม หรือเพ้อฝันแต่อย่างใด สำหรับอารยธรรมที่สามารถพัฒนาไปถึงระดับที่ 1 ได้ แล้วยังคงต้องการพลังงานที่มากขึ้นต่อไป
เมื่อพิจารณาจากจำนวนดาวฤกษ์ที่มีมากกว่า 400,000 ล้านดวงในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะมีอารยธรรมมากกว่า 36 อารยธรรมที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำเพียงพอที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้ หากอ้างอิงตามงานวิจัยปี 2020 ของ Westby, T. & Conselice, C. J. จึงมีความเป็นไปได้ที่ 1 ใน 36 อารยธรรมนั้น กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระดับที่ 1 ไปเป็นระดับที่ 2 ซึ่งพวกเขาอาจจะกำลังสร้างไดสันสเฟียร์อยู่ก็ได้
ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว กล้องโทรทรรศน์อวกาศไวส์ (WISE) ขององค์การนาซา ได้ตรวจพบดาวฤกษ์ที่มีลักษณะแปลก ๆ กล่าวคือ ดาวฤกษ์ดวงนั้นแผ่แค่รังสีอินฟราเรดจาง ๆ ออกมาเท่านั้น ราวกับว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นถูกห้อมล้อมด้วยโครงสร้างปิดทึบบางอย่าง ที่กันแสงช่วงคลื่นอื่นไม่ให้ฝ่าออกมาได้ จึงทำให้นักดาราศาสตร์บางคนออกมาตั้งสมมติฐานว่าเราอาจจะค้นพบไดสันสเฟียร์แล้วจริง ๆ
อย่างไรก็ตามนักวิทย์อีกหลายคนในองค์การนาซาก็กลับไม่ซื้อแนวคิดนี้ บางก็กล่าวว่ามันเป็นการด่วนสรุปเกินไป บ้างก็กล่าวว่ากล้องโทรทรรศน์รุ่นเก่าอย่างกล้องนีโอไวส์ (NEOWISE) เคยระบุที่มาของแสงริบหรี่นั้นว่ามาจากกาแล็กซี่ห่างไกลที่เมฆหมอกไฮโดรเจนบดบังแสงของดาวฤกษ์ไปจนเกือบหมดต่างหาก
ไม่ว่าเราจะเคยค้นพบ 'ไดสันสเฟียร์' จริง ๆ หรือไม่ก็ตาม การค้นหาร่องรอยทางเทคโนโลยีของอารยธรรมทางดาวด้วยไดสันสเฟียร์นี้ ก็ถือเป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้วที่จะอยู่จริงในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา ซึ่งเราก็คงได้แต่จ้องไปมองดวงดาราต่อไปเพื่อหาหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่างดาวต่อไป
" Life Looks For Life "
" ชีวิตย่อมมองหาชีวิต "
เครดิตจากเพจ The Space Times

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่