ชวนถกคิดข้อสงสัย… จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ แต่เอเลี่ยนอยู่ไหนกันหมด?
ในปัจจุบันผู้คนมีความเชื่อว่า ‘เอเลี่ยน’ มีอยู่จริง เพราะท่ามกลางดาวนับล้าน คงต้องมีสักแห่งหนที่มีเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นนอกเหนือจากมนุษย์ เพียงแต่รอการค้นพบ ไม่เราพบเขา ก็เขาพบเรา ซึ่งจะตามมาด้วย ‘การติดต่อครั้งแรก’ (First Contact) กับชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นในที่สุด
แต่รอแล้วรอเล่า เหตุไฉนทำไมจึงยังไม่พบกัน อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ร่องรอยปริศนาใด ๆ ที่นับเป็น ‘หลักฐานอย่างชัดเจน’ (Conclusive Evidence) จนทำให้เรายืนยันมั่นใจได้ว่าเอเลี่ยนนั้นมีอยู่จริง ราวกับว่าเอกภพนั้นแสนว่างเปล่า
หรือแท้จริงแล้ว มนุษยชาติอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยว...
ความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้มีมานานนม จนในช่วงทศวรรษที่ 1950 กลุ่มนักฟิสิกส์ที่ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอะลามอส (LANL) ได้ใช้เวลาช่วงอาหารกลางวันพูดคุยกัน นักฟิสิกส์นามว่า ‘เอนริโก เฟอร์มี’ เป็นผู้ริเริ่มคำถามเหล่านี้อย่างจริงจัง ว่าด้วยความกว้างใหญ่ไพศาล และด้วยอายุแสนโบราณของจักรวาลเรา
เขาตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้กระจายอาณานิคมทั่วทั้งแกแลคซี่แล้วในปัจจุบัน หรืออย่างน้อยก็เคยได้ทำในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใด ร่องรอยหลักฐานที่อารยธรรมนั้นทิ้งไว้ก็ควรจะชัดเจนพอที่จะทำให้เราตรวจพบได้แล้วตอนนี้
แนวคิดเรื่องนี้ได้แพร่หลายและโด่งดังขึ้นมาในนาม ‘ปฏิทรรศน์เฟอร์มี’ (The Fermi Paradox)
จวบจนถึงปัจจุบัน ผู้คนมากมายต่างพากันสร้างสรรค์สมมติฐานที่อาจเป็นกุญแจสำหรับไขปริศนาความย้อนแย้งนี้
ในปี 1998 นักเศรษฐศาสตร์ผู้ฝักใฝ่ในวิทยาศาสตร์และอนาคต ‘โรบิน แฮนสัน’ ได้ให้กำเนิด ‘สมมติฐานตัวกรองสำคัญ’ (The Great Filter Hypothesis) ว่าด้วยอุปสรรคสำคัญต่าง ๆ ที่จะมาขัดขวางเส้นทางการพัฒนาของอารยธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาว ทำให้พวกเขาไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันในการสร้างวิทยาการสื่อสารระหว่างดวงดาว และไม่สามารถแพร่ขยายอาณาจักรอวกาศอันรุ่งเรืองจนให้เราตรวจพบได้
อุปสรรคสำคัญอาจเริ่มตั้งแต่ความยากลำบากของการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ ที่อาจต้องอาศัยปัจจัยละเอียดอ่อนจำนวนนับไม่ถ้วน เช่น ดาวเคราะห์ควรจะอยู่ในวงโคจร ‘เขตโกลดิล็อค’ (Goldilock Zone) นั่นคือ
1. ห่างจากดาวฤกษ์พอเหมาะ ไม่ร้อนจนน้ำเดือดระเหยหรือเย็นเกินไปจนเป็นน้ำแข็ง
2. ดาวเคราะห์มีชั้นบรรยากาศและส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม
3. มีดวงจันทร์บริวารที่คอยรักษาเสถียรภาพของแกนหมุนของดาวเคราะห์
4. มีสนามแม่เหล็กที่แข็งแรงพอที่จะป้องกันพื้นผิวจากลมสุริยะของดาวฤกษ์
5. ดาวฤกษ์ต้องมีความเสถียรและมีอายุยืนยาวพอ
6. ดาวเคราะห์ไม่โชคร้ายมีความเสี่ยงรับมหันตภัยระดับอวกาศ เช่น อยู่ในเส้นทางของปรากฏการณ์การปะทุรังสีแกมมา หรือถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนบ่อย ๆ เป็นต้น
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จัดอยู่ใน ‘สมมติฐานโลกหายาก’ (Rare Earth Hypothesis) จักรวาลอาจเต็มไปด้วยดาวเคราะห์ไร้ชีวิต หรือถ้าอย่างดีที่สุดราวกับเพชรซ่อนในเนินกรวด ก็มีแค่ทะเลซุปแบคทีเรียง่ายๆที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เคมี ‘การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิต’ (Abiogenesis) ส่วนดาวเคราะห์ที่มีระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อนแบบบนโลกนั้นอาจใกล้เคียงคำว่าไม่มีอยู่เลย ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอดีต
หรือหากดาวเคราะห์อันอุดมสมบูรณ์เช่นโลกเราไม่ได้หายากเท่าที่สมมติฐานนี้ว่ามา ก็ยังมีอีกอุปสรรคที่เป็นไปได้ นั่นก็คือโอกาสที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะพัฒนาสติสัมปชัญญะขึ้นมาจนมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและอารยธรรมคล้ายมนุษย์โลกนั้นอาจเป็นเรื่องยากระดับเอกภพ สัตว์ป่าและพืชพรรณต่างดาวอาจพบได้มากมาย แต่ไม่มีอะไรบนดาวเคราะห์ดวงไหนคิดจะจุดไฟหรือสร้างยานแห่งดวงดาวได้เลย
ตัวกรองสองอย่างที่ได้กล่าวมา ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นจัดเป็น ‘ตัวกรองสำคัญ’ (The Great Filter) ที่แท้จริง มนุษยชาติก็สามารถโล่งอกได้เพราะพวกเราผ่านฉลุยมาแล้ว อนาคตคงเป็นเรื่องที่สดใสและน่าทึ่งตามที่จินตนาการไซไฟเราได้วาดไว้
แต่โอกาสที่มันจะไม่ใช่อย่างนั้นอาจดับฝันเรา... ขอแนะนำตัวกรองอีกชั้นที่น่าพรั่นพรึง นั่นก็คืออายุขัยอันแสนสั้นของอารยธรรม
ในยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบยกกำลัง แนวคิดเรื่องของการที่สังคมมนุษย์จะไขว่เขวจนแพ้ภัยตัวเองนั้นเป็นความกังวลที่แพร่หลายและฝั่งลึก พวกเราที่อาจกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสสูงลิ่วที่จะทำลายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงเช่น สงครามนิวเคลียร์, ภัยจากเอไอ หรือทางอ้อม เช่น มหันภัยธรรมชาติที่มีต้นเหตุจากมนุษย์ และการขาดแคลนทรัพยากรกะทันหัน เป็นต้น ภัยเหล่านี้ ถ้าหากพวกเราหรือเอเลี่ยนอื่น ๆ ได้พบเจอ อาจทำให้สังคมพังพลายจนหวนย้อนกลับไปอยู่แบบในช่วงนวัตกรรมต่ำอีกครั้ง หรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์ในที่สุด
ปัญหาอีกเรื่องที่เป็นได้มาก คือยังไม่มีอารยธรรมไหนสามารถสร้างเทคโนโลยี ‘การเดินทางระหว่างระบบดาว’ (Interstellar Travel) ได้เสียที ระยะทางหลายปีแสงนั้นอาจเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมกว่าที่พวกเราจินตนาการ ทุกเผ่าพันธุ์อาจต้องติดอยู่ในระบบดาวตัวเองตลอดกาล
นี่อาจเป็นชะตากรรมที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงถ้าหากนี่คือตัวกรองสำคัญที่แท้จริง เรายังไม่ได้ผ่านมัน และมันกำลังจะมาถึงเรา
นอกจากสมมติฐานตัวกรองสำคัญที่เรียบง่ายและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว ยังมีสมมติฐานอื่นๆ ที่นับว่าต้องใช้จินตนาการมากกว่า เช่น ‘สมมติฐานป่าอันมืดมิด’ (Dark Forest Hypothesis) โดย ‘ซือฉิ่น ลิ่ว’ (Liu Cixin) นักวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และนักแต่งนิยายวิทยาศาสตร์ชาวจีน ให้คำตอบกับความเงียบสงัดของจักรวาล ว่าแต่ละอารยธรรมเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เจริญมากพอ จะรู้ตัวว่าควรทำตัวให้ ‘เงียบ’ ให้มากที่สุด พัฒนาอย่างหลบซ่อนและคอยสังเกตเฝ้าระวังอารยธรรมอื่นแบบเงียบเชียบ เพราะการมีปฏิสัมพันธ์หรือการเปิดเผยตัวตนเพียงน้อยนิดอาจนำมาสู่ความขัดแย้งบานปลาย จนถึงหายนะ
ทุกอารยธรรมต่างอยากเอาตัวรอด ไม่มีใครทราบเจตนาอีกฝ่าย และมักมองกันเป็นคู่แข่ง ทั้งแบบนักล่า-นักล่า, นักล่า-เหยื่อ หรือ เหยื่อ-เหยื่อ
นี่อาจเป็นเหตุผลที่จักรวาลไร้สัญญาณสื่อสาร หากมีอารยธรรมใดที่ไร้เดียงสาถึงที่สุดเกิดส่งเสียงร้องดังหวังทักทายเพื่อนบ้านขึ้นมา ทุกคนที่มีโอกาสได้โตพอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือการตอกตะปูโลงศพให้กับอารยธรรมตัวเอง ภัยร้ายอาจไปเยือนถึงระบบดาว เสียงร้องจึงได้เงียบไปอีกครั้ง
“ความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเราอาจอยู่อย่างลำพังในจักรวาลนั้นน่าสะพรึงกลัว แต่อีกความเป็นไปได้ที่พวกเราไม่ได้อยู่อย่างลำพังนั้นก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน” วาทะของคาร์ล เซแกน นักดาราศาสตร์ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดัง
ไม่ว่ากุญแจไขปริศนาปฏิทรรศน์เฟอร์มีจะเป็นอะไร พวกเราอาจไม่มีทางรู้เลยจนกว่าจะได้เจอเอเลี่ยนจริง ๆ
แต่ถึงกระนั้น การพิจารณาโลกของเราเองให้ถี่ถ้วนควบคู่กับการมองขึ้นไปบนฟ้าก็เป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาวิจัยเรื่องการถือกำเนิดและการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตบนโลก ไปจนถึงการศึกษาธรรมชาติของอารยธรรมมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่กุญแจสำคัญได้ในเร็ววัน
Original by Techodom Boonyasoma, The Space Times
ชวนถกคิดข้อสงสัย… จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ แต่เอเลี่ยนอยู่ไหนกันหมด?
ในปัจจุบันผู้คนมีความเชื่อว่า ‘เอเลี่ยน’ มีอยู่จริง เพราะท่ามกลางดาวนับล้าน คงต้องมีสักแห่งหนที่มีเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นนอกเหนือจากมนุษย์ เพียงแต่รอการค้นพบ ไม่เราพบเขา ก็เขาพบเรา ซึ่งจะตามมาด้วย ‘การติดต่อครั้งแรก’ (First Contact) กับชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นในที่สุด
แต่รอแล้วรอเล่า เหตุไฉนทำไมจึงยังไม่พบกัน อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ร่องรอยปริศนาใด ๆ ที่นับเป็น ‘หลักฐานอย่างชัดเจน’ (Conclusive Evidence) จนทำให้เรายืนยันมั่นใจได้ว่าเอเลี่ยนนั้นมีอยู่จริง ราวกับว่าเอกภพนั้นแสนว่างเปล่า
หรือแท้จริงแล้ว มนุษยชาติอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยว...
ความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้มีมานานนม จนในช่วงทศวรรษที่ 1950 กลุ่มนักฟิสิกส์ที่ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอะลามอส (LANL) ได้ใช้เวลาช่วงอาหารกลางวันพูดคุยกัน นักฟิสิกส์นามว่า ‘เอนริโก เฟอร์มี’ เป็นผู้ริเริ่มคำถามเหล่านี้อย่างจริงจัง ว่าด้วยความกว้างใหญ่ไพศาล และด้วยอายุแสนโบราณของจักรวาลเรา
เขาตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้กระจายอาณานิคมทั่วทั้งแกแลคซี่แล้วในปัจจุบัน หรืออย่างน้อยก็เคยได้ทำในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใด ร่องรอยหลักฐานที่อารยธรรมนั้นทิ้งไว้ก็ควรจะชัดเจนพอที่จะทำให้เราตรวจพบได้แล้วตอนนี้
แนวคิดเรื่องนี้ได้แพร่หลายและโด่งดังขึ้นมาในนาม ‘ปฏิทรรศน์เฟอร์มี’ (The Fermi Paradox)
จวบจนถึงปัจจุบัน ผู้คนมากมายต่างพากันสร้างสรรค์สมมติฐานที่อาจเป็นกุญแจสำหรับไขปริศนาความย้อนแย้งนี้
ในปี 1998 นักเศรษฐศาสตร์ผู้ฝักใฝ่ในวิทยาศาสตร์และอนาคต ‘โรบิน แฮนสัน’ ได้ให้กำเนิด ‘สมมติฐานตัวกรองสำคัญ’ (The Great Filter Hypothesis) ว่าด้วยอุปสรรคสำคัญต่าง ๆ ที่จะมาขัดขวางเส้นทางการพัฒนาของอารยธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาว ทำให้พวกเขาไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันในการสร้างวิทยาการสื่อสารระหว่างดวงดาว และไม่สามารถแพร่ขยายอาณาจักรอวกาศอันรุ่งเรืองจนให้เราตรวจพบได้
อุปสรรคสำคัญอาจเริ่มตั้งแต่ความยากลำบากของการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ ที่อาจต้องอาศัยปัจจัยละเอียดอ่อนจำนวนนับไม่ถ้วน เช่น ดาวเคราะห์ควรจะอยู่ในวงโคจร ‘เขตโกลดิล็อค’ (Goldilock Zone) นั่นคือ
1. ห่างจากดาวฤกษ์พอเหมาะ ไม่ร้อนจนน้ำเดือดระเหยหรือเย็นเกินไปจนเป็นน้ำแข็ง
2. ดาวเคราะห์มีชั้นบรรยากาศและส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม
3. มีดวงจันทร์บริวารที่คอยรักษาเสถียรภาพของแกนหมุนของดาวเคราะห์
4. มีสนามแม่เหล็กที่แข็งแรงพอที่จะป้องกันพื้นผิวจากลมสุริยะของดาวฤกษ์
5. ดาวฤกษ์ต้องมีความเสถียรและมีอายุยืนยาวพอ
6. ดาวเคราะห์ไม่โชคร้ายมีความเสี่ยงรับมหันตภัยระดับอวกาศ เช่น อยู่ในเส้นทางของปรากฏการณ์การปะทุรังสีแกมมา หรือถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนบ่อย ๆ เป็นต้น
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จัดอยู่ใน ‘สมมติฐานโลกหายาก’ (Rare Earth Hypothesis) จักรวาลอาจเต็มไปด้วยดาวเคราะห์ไร้ชีวิต หรือถ้าอย่างดีที่สุดราวกับเพชรซ่อนในเนินกรวด ก็มีแค่ทะเลซุปแบคทีเรียง่ายๆที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เคมี ‘การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิต’ (Abiogenesis) ส่วนดาวเคราะห์ที่มีระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อนแบบบนโลกนั้นอาจใกล้เคียงคำว่าไม่มีอยู่เลย ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอดีต
หรือหากดาวเคราะห์อันอุดมสมบูรณ์เช่นโลกเราไม่ได้หายากเท่าที่สมมติฐานนี้ว่ามา ก็ยังมีอีกอุปสรรคที่เป็นไปได้ นั่นก็คือโอกาสที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะพัฒนาสติสัมปชัญญะขึ้นมาจนมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและอารยธรรมคล้ายมนุษย์โลกนั้นอาจเป็นเรื่องยากระดับเอกภพ สัตว์ป่าและพืชพรรณต่างดาวอาจพบได้มากมาย แต่ไม่มีอะไรบนดาวเคราะห์ดวงไหนคิดจะจุดไฟหรือสร้างยานแห่งดวงดาวได้เลย
ตัวกรองสองอย่างที่ได้กล่าวมา ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นจัดเป็น ‘ตัวกรองสำคัญ’ (The Great Filter) ที่แท้จริง มนุษยชาติก็สามารถโล่งอกได้เพราะพวกเราผ่านฉลุยมาแล้ว อนาคตคงเป็นเรื่องที่สดใสและน่าทึ่งตามที่จินตนาการไซไฟเราได้วาดไว้
แต่โอกาสที่มันจะไม่ใช่อย่างนั้นอาจดับฝันเรา... ขอแนะนำตัวกรองอีกชั้นที่น่าพรั่นพรึง นั่นก็คืออายุขัยอันแสนสั้นของอารยธรรม
ในยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบยกกำลัง แนวคิดเรื่องของการที่สังคมมนุษย์จะไขว่เขวจนแพ้ภัยตัวเองนั้นเป็นความกังวลที่แพร่หลายและฝั่งลึก พวกเราที่อาจกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสสูงลิ่วที่จะทำลายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงเช่น สงครามนิวเคลียร์, ภัยจากเอไอ หรือทางอ้อม เช่น มหันภัยธรรมชาติที่มีต้นเหตุจากมนุษย์ และการขาดแคลนทรัพยากรกะทันหัน เป็นต้น ภัยเหล่านี้ ถ้าหากพวกเราหรือเอเลี่ยนอื่น ๆ ได้พบเจอ อาจทำให้สังคมพังพลายจนหวนย้อนกลับไปอยู่แบบในช่วงนวัตกรรมต่ำอีกครั้ง หรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์ในที่สุด
ปัญหาอีกเรื่องที่เป็นได้มาก คือยังไม่มีอารยธรรมไหนสามารถสร้างเทคโนโลยี ‘การเดินทางระหว่างระบบดาว’ (Interstellar Travel) ได้เสียที ระยะทางหลายปีแสงนั้นอาจเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมกว่าที่พวกเราจินตนาการ ทุกเผ่าพันธุ์อาจต้องติดอยู่ในระบบดาวตัวเองตลอดกาล
นี่อาจเป็นชะตากรรมที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงถ้าหากนี่คือตัวกรองสำคัญที่แท้จริง เรายังไม่ได้ผ่านมัน และมันกำลังจะมาถึงเรา
นอกจากสมมติฐานตัวกรองสำคัญที่เรียบง่ายและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว ยังมีสมมติฐานอื่นๆ ที่นับว่าต้องใช้จินตนาการมากกว่า เช่น ‘สมมติฐานป่าอันมืดมิด’ (Dark Forest Hypothesis) โดย ‘ซือฉิ่น ลิ่ว’ (Liu Cixin) นักวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และนักแต่งนิยายวิทยาศาสตร์ชาวจีน ให้คำตอบกับความเงียบสงัดของจักรวาล ว่าแต่ละอารยธรรมเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เจริญมากพอ จะรู้ตัวว่าควรทำตัวให้ ‘เงียบ’ ให้มากที่สุด พัฒนาอย่างหลบซ่อนและคอยสังเกตเฝ้าระวังอารยธรรมอื่นแบบเงียบเชียบ เพราะการมีปฏิสัมพันธ์หรือการเปิดเผยตัวตนเพียงน้อยนิดอาจนำมาสู่ความขัดแย้งบานปลาย จนถึงหายนะ
ทุกอารยธรรมต่างอยากเอาตัวรอด ไม่มีใครทราบเจตนาอีกฝ่าย และมักมองกันเป็นคู่แข่ง ทั้งแบบนักล่า-นักล่า, นักล่า-เหยื่อ หรือ เหยื่อ-เหยื่อ
นี่อาจเป็นเหตุผลที่จักรวาลไร้สัญญาณสื่อสาร หากมีอารยธรรมใดที่ไร้เดียงสาถึงที่สุดเกิดส่งเสียงร้องดังหวังทักทายเพื่อนบ้านขึ้นมา ทุกคนที่มีโอกาสได้โตพอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือการตอกตะปูโลงศพให้กับอารยธรรมตัวเอง ภัยร้ายอาจไปเยือนถึงระบบดาว เสียงร้องจึงได้เงียบไปอีกครั้ง
“ความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเราอาจอยู่อย่างลำพังในจักรวาลนั้นน่าสะพรึงกลัว แต่อีกความเป็นไปได้ที่พวกเราไม่ได้อยู่อย่างลำพังนั้นก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน” วาทะของคาร์ล เซแกน นักดาราศาสตร์ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดัง
ไม่ว่ากุญแจไขปริศนาปฏิทรรศน์เฟอร์มีจะเป็นอะไร พวกเราอาจไม่มีทางรู้เลยจนกว่าจะได้เจอเอเลี่ยนจริง ๆ
แต่ถึงกระนั้น การพิจารณาโลกของเราเองให้ถี่ถ้วนควบคู่กับการมองขึ้นไปบนฟ้าก็เป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาวิจัยเรื่องการถือกำเนิดและการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตบนโลก ไปจนถึงการศึกษาธรรมชาติของอารยธรรมมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่กุญแจสำคัญได้ในเร็ววัน
Original by Techodom Boonyasoma, The Space Times