สวัสดีค่ะหนูขอแทนตัวเองว่าเอ็กซ์แล้วกันนะคะ อิๆ🤭 เมื่อวานก่อนหนูไปรื้อบ้านมา แล้วไปเจอกองหนังสือการ์ตูนที่แม่เคยซื้อไว้ตอนทำงานเซเว่น "ฮาจะเกร็ง" มีพี่ๆคนไหนเคยอ่านมั้ยคะ แม่บอกแม่เคยอ่านแต่ไม่ได้ซื้อ รู้ตัวอีกทีเลยซื้อไม่ทันเล่มแรก แม่ซื้อตั้งแต่ตอนยังไม่มีหนูเลยค่ะ
หนูเลือกดูหน้าปกที่หน้าสนใจ (เอาตามใจตัวเองแหละค่ะ😹) เลยไปเจอเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นยมบาล (ใครไม่รู้??!) บอกว่า "ถ้าเจ้าปีนขึ้นไปเอามาได้ข้าจะให้ไปเกิดใหม่" ให้ปีนไปเอาอั่งเปาไปเกิดใหม่บนต้นงิ้วน่ะค่ะ ฉบับที่ 8 2553 หน้าที่ 52 ตอนหนูอ่านหนูชอบมากเลยค่ะ ที่อ่าน ข. เขียนนะในหนังสือฮาจะเกร็งที่แม่ซื้อไว้ ชอบเล่มนี้มากเพราะหน้านี้เลยค่ะ
ฮาจะเกร็ง ฉบับที่ 8 2553
ข. เขียนนะ
ใต้เงาราหู
ข่าววิบัติภัยจากทั่วโลกในระยะนี้ดูเหมือนจะมีมากกว่าปกติอยู่บ้าง มันทำให้ผมหวนนึกถึงคำถามที่ติดอยู่ในใจมานานหลายเดือนแล้ว กับคำถามที่ว่า....
“คุณรู้จักโลกใบนี้ดีแค่ไหน”
คนที่ถามคำถามนี้กับผม เป็นชายที่กำลังเมาแทบไม่ได้สติ แต่แปลกมั้ยที่บางครั้งผมกลับคิดว่าคนที่ไม่ได้สติจริง ๆ กลับเป็นพวกเรามนุษย์ผู้โง่เขลากว่าหกพันล้านคน ที่ยังมัวเมากินอยู่ขับถ่ายบนร่างกายของยักษ์ใหญ่ราหูตนนี้... ที่กำลังถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล
ผมเป็นนักข่าวอาวุโสของสำนักพิมพ์ต่างประเทศแห่งหนึ่ง งานเขียนขาวเชิงเจาะลึกทำให้ผมมีโอกาสเดินทางบ่อย ๆ เมื่อกลางปีที่แล้วผมถูกส่งตัวไปหาข่าวแถว ๆ ทะเลทรายในแอริโอโซนเกี่ยวกับข่าวโคมลอย เรื่องคนที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แน่นอนว่าผมคว้าน้ำเหลว มันเหลวเสียจนผมไม่มีทางปั้นให้เป็นตัวเพื่อขายข่าวได้ แต่ในฐานะนักข่าวผมรู้ดีว่าการเสียค่าใช้จ่ายของโรงพิมพ์โดยไม่ได้ข่าวตอบแทน คนที่จะต้องขาดทุนมากที่สุดก็คือตัวผมเอง โชคดีที่ผมพอจะหาข่าวเล็ก ๆ ระดับขนมคบเคี้ยวได้บ้าง จากนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกรีไทร์จากโครงการเซติ พวกนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้พบรูปแบบใหม่ของคลื่นวิทยุดาวพัลซาร์ กับข่าวคำนวณความเข้มข้นของกระแสลมสุริยะในปี ค.ศ. 2012
คืนก่อนขึ้นเครื่องเพื่อกลับสำนักพิมพ์ ผมได้แวะไปที่ผับเล็กๆ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนของช่างเทคนิคโครงการต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาอะไรแก้เซ็งมากกว่าจะคิดเสาะหาสะเก็ดหรือรังแคข่าว ชายคนหนึ่งที่นั่งดื่มอย่างหนักในมุมมืดของร้าน ที่ผมสนใจเขาเพราะเสียงพึมพำที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนกับผม ผมถือวิสาสะเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆเขาทันที
“โลกมันมีไว้ให้เราเหยียบนะครับ ไม่ได้มีไว้ให้เราแบก” ผมทักทายเขา ที่วางสีหน้าเหมือนแบกโลกไว้
“แล้วคุณ... รู้จักโลกใบนี้มากแค่ไหน!” ผมรู้สึกได้ว่ามีความคิดเยาะหยันในน้ำเสียงนั้น
“อาจไม่มากเท่าคุณแต่ผมก็ผ่านโลกมาไม่น้อยแล้ว” ผมตอบเป็นเชิงเอาใจ
“ไม่ใช่ ๆ ผมไม่ได้หมายถึงสังคมโลก ผมหมายถึงตัวตนของโลกต่างหาก”
“อ้อ... ผมเคยเรียนมา โลกมีแกนเอียงทำมุมกับดวงอาทิตย์ราวๆยี่สิบสามองศา มีพื้นดินหนึ่งในสี่ราว ๆ เกือบยี่สิบล้านตารางไมล์ ประเทศต่าง ๆ ก็สักร้อยเก้าสิบกว่าประเทศแล้วมั้ง” ผมพูดน้ำเสียงพยายามให้ดูเป็นมิตร
“แล้วคุณจะเชื่อมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า.... โลกมีชีวิต มีจิตใจ มีความคิด!” ชายคนนั้นเน้นคำพูดราวกับพยายามให้เชื่อ ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
“ผมจำได้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเคยเสนอทฤษฎีคล้าย ๆ แบบนี้” ผมว่าหมอนี่คงเคยอ่านหนังสือของพวกสติเฟื่องมาแน่ ๆ
“ขอโทษนะ ที่คุณพูดมาคงหมายถึงทฤษฎีไกอา หรือแม่พระธรณีใช่มั้ย มันไม่ใช่ทฤษฎีของพวกสติเฟื่องหรอกนะ” น้ำเสียงเขาเริ่มไม่พอใจ
“เสียใจที่ทำให่คุณโกรธ ผมไม่ได้คิดว่าจะทำร้ายใคร ผมเพียงแต่ตามไม่ทันความคิดนั้นเท่านั้น มันฟังดู... โลกที่เราอยู่เนี่ยนะเป็นสิ่งมีชีวิต มันดูไม่เหมือนเลยสักนิด”
“นั่นเป็นเพราะเราใช้สามัญสำนึกแบบมนุษย์ไปกำหนดวัดน่ะสิ...” ชายคนนั้นพูพลางเหลือบมองแขนของผม
“เห็นแมลงวันที่เกาพลนแขนของคุณมั้ย ด้วยสติปัญญาของมัน คุณคิดว่ามันจะรู้มั้ยว่าแขนที่มันเกาะอยู่เป็นของใคร ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน... ไม่เลย สิ่งที่มันรู้เป็นแค่ระดับจิตที่แมลงวันจะสัมผัสรับได้เท่านั้น แล้วถ้าโลกมีชีวิตจริง ๆ จิตอันกระจ้อยร่อย สมองอันน้อยนิดของมนุษย์จะมีปัญญาสัมผัสรับรู้ของจิตในระดับดาวเคราะห์น้อยอย่างโลกได้รึเปล่า” คำอธิบายนั้นทำให้ผมครุนคิดก่อนจะผละมันออกไป คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่เขาอยากให้เป็น และไม่เชื่อในสิ่งที่เขาไม่อยากให้เป้นกันทั้งนั้น
“หลายปีก่อนมีนักวิทยาศาสตร์รวมตัวกันทำวิจัยข้อสงสัยของพวกเขา ส่วนใหญ่แฝงตัวอยู่ในองค์ขนาดใหญ่เพื่อจะได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ ตอนนั้นผมกำลังทำปริญญาเอกอยู่ และมีโอกาสได้เข้าร่วม เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาพาเข้าไป พวกเราพัฒนาทฤษฎีจนพอใช้มันทำนายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ เราค้นพบว่าปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติล้วนมีรูปแบบผูกพันโยงใยกัน ไม่ว่าจะเป็นการอพยพย้ายถิ่นของนกบนฟ้าหรือปลาไหลในทะเล ฝูงผีเสื้อหรือตั๊กแตนที่บินข้ามถิ่นเป็นร้อย ๆไมล์ จนถึงแพลงก์ตอนหรือคริวว์พืชสัตว์จิ๋วในทะเล ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือกระบวนการสร้างสมดุลเคมีในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เหมือนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายเราหรือเซลล์ ดังนั้นเราจึงเริ่มศึกษาสนามแม่เหล็กโลก...”
“เรามีข้อมูลย้อนหลังของสนามแม่เหล็กโลก จนพบว่าในคลื่นแม่เหล็กโลกนั้นมีคลื่นประหลาด คลื่นตัวนี้มักจะเกิดก่อนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติครั้งใหญ่ของโลกทุกครั้ง เราคิดว่ามันคือ... คลื่นความคิดของโลก!”
“เดี๋ยวก่อน คุณหมายความว่าคลื่นจะแรงขึ้นก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วมอะไรพวกนี้หรือเปล่า”
“หัวไวไม่เลวเลย เราเคยได้ยินว่ามีนักบุญหรือศาสดาพยากรณ์ในอดีตบางท่านสามารถทำนายวิบัติภัยได้ล่วงหน้า อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่อ่านความคิดของโลกออก โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์”
“พวกคุณคงได้รางวัลโนเบลแน่ๆผมว่านะ”
“รางวัลโนเบลน่ะเรอะ มันไม่มีความหมายหรอก ถ้าไม่เหลือใครไว้ให้ชื่นชม เมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม โรงงานและเขื่อนกั้นน้ำถูกสร้างขึ้นมา ตอนนั้นโลกมีประชากรมนุษย์แค่เก้าร้อยกว่าล้านคน พื้นที่ป่าเกินกว่าสิบล้านตารางไมล์ แต่เพียงแค่สองชั่วอายุคน เทคโนโลยีก็ก้าวกระโดดราวกับเนรมิต เรามีโรงงาน เมืองใหญ่ เขื่อนกั้นน้ำ ไฟฟ้าและตลาดหุ้น ประชากรเพิ่มเป็นหกพันล้านแต่ป่าไม้เหลือไม่ถึงสามล้านตารางไมล์ เกิดมลภาวะ ปัญหาชั้นโอโซนและกรีนเฮ้าส์เอฟเฟ็กต์ มนุษย์เราพึ่งเริ่มจะรับรู้ว่ามันเป็นปัญหา แต่ตอนนี้คลื่นความคิดของโลกเปลี่ยนไปมาก มากจนน่ากลัว”
“หมายความว่า ตอนนี้โลกคิดว่าควรจะทำให้เกิดน้ำท่วมหรือพายุกระหน่ำอีกแล้วใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่แค่นั้น ความไม่รู้จักพอของมนุษย์ การพัฒนาแบบหน้ามืด ปลูกให้โลกตื่นจากการหลับใหลหลายสิบล้านปี แล้วพบว่าเผ่าพันธุ์ยืนตัวตรงที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามล้านปีก่อน กำลังทำตัวเป็นปรสิตกัดแทะร่างกายของโลกอย่างมูมมาม
ถ้ามียุงกัดคุณ คุณจะทำยังไง นั่นแหละคำตอบ”
“จากคลื่นความคิดของโลกที่เราอ่านได้ โลกคิดจะลดจำนวนมนุษย์ลงในระดับที่โลกรู้สึกสบายตัว ขั้นแรกเริ่มต้นด้วยพายุหรือน้ำท่วม คลื่นยักษ์สึนามิกับพายุทอร์นาโด แล้วตามด้วยแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด แล้วสุดท้ายก็จะเกิดโรคระบาดและขาดแคลนอาหาร จนกว่าปัญหามลภาวะมนุษย์จะหมดลง นั่นแหละโลกถึงจะหยุด”
“พวกคุณควรจะบอกปัญหานี้ให้คนมีอำนาจรับรู้ไว้นะ บางทีอาจจะพอแก้ไขได้”
“เราบอกแล้ว สองสามสัปดาห์มานี่เอง แต่สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเขามองว่าเราเป็นเหมือนพวกตัวตลกละครสัตว์พวกสติเฟื่องอยากดัง ความคิดของพวกเราล้ำหน้าเกินไป จนแม้แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองยังไม่เข้าใจและไม่ยอมรับฟังคำอธิบาย อย่าว่าแต่พวกนักการเมือง หรือนักธุรกิจเลย ตอนนี้พวกเขาคิดจะเล่นงานเราในข้อหาฉ้อฉล เอางบประมาณกับอุปกรณ์รัฐและองค์กรไปใช้ในกิจการส่วนตัว พวกเราหลายคนถูกไล่ออกและกำลังถูกจับขึ้นศาล ส่วนพวกนักธุรกิจถ้าบอกไปสิ่งแรกที่เขาจะทำคือต้องรีบขายหุ้นออกไปไม่มีใครสนใจปัญหาการอยู่รอดของมนุษยชาติจริง ๆ หรอก”
“แล้วพวกคุณจะทำยังไงต่อไป”
“จะทำอะไรได้ งานของพวกเราจบลงแล้ว... พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้าน ใช้ชีวิตที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย รอดูข่าวน้ำท่วม พายุใหญ่ คลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว แล้วก็.. บิงโก! หวังว่าในวันสิ้นโลก สวนสนุกจะเปิดนะ....” ชายคนนั้นพูดงึมงัมเบา ๆ เมื่อผมเงี่ยหูฟัง จึงรู้ว่าเป็นบทสวด แล้วเขาก็ฟุบหลับไป ผมลุกไปจ่ายเงินให้เขาเพื่อนไทยสติเฟื่องที่ผมไม่รู้จักชื่อ ก่อนจะเดินออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ติดอยู่ในใจมาตลอด
ข่าวมหาภัยพิบัติแผ่นดินไหวในเฮติกับข่าวคลื่นความหนาวถล่มจีนและยุโรปในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมนึกถึงหน้าชายแปลกหน้าคนนั้นอีกครั้งกับความคิดเพ้อเจ้อของเขา ในหน้าหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ ที่คาดการว่าอาหารจะขาดแคลนทั่วโลกในปีนี้ ข่าวที่ผึ้งในอเมริกาพากันล้มตายลงกว่าครึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ พร้อมกับข่าวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เริ่มกลายพันธุ์... มันทำให้ผมคิดถึงครอบครัวที่เมืองไทยจนท่วมท้นหัวใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บ่ายนี้ผมจะไปยื่นใบลาออกอยากกลับบ้านเหลือเกิน อยากพาครอบครัวไปเที่ยวสวนสนุก แล้วผมก็เริ่มต้นสวดมนต์...
เรื่องโดย : คุณอรรถพร คมขำ
"ผมอยากกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว ก่อนที่โลกจะแตก"
มันเหมือนเสียงจากใครสักคนที่ “ตาสว่าง” ขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่ยังหลับใหล จริง ๆ มันอาจไม่ได้แปลว่าเขากลัวโลกจะแตกแบบหนังเป๊ะ ๆ แต่มันเหมือนเขา “เข้าใจอะไรบางอย่าง” และรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันมันไม่ใช่ เลยอยากกลับไปใช้เวลากับสิ่งที่ “มีความหมายจริง ๆ”
บางทีเราอาจไม่ได้อยู่บนโลก
แต่อยู่ "ใน" ตัวของบางสิ่งที่ใหญ่เกินจะเข้าใจ
เหมือนที่ปรสิตตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่บนหลังของยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะพลิกตัว
เราใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่กับมัน... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ของเราคือแผลขนาดใหญ่
ถ้าวันนึงโลกจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ
เราจะทันขอโทษมันก่อนจะโดนสะบัดหลุดไปมั้ยนะ?
...หรือที่จริงแล้ว
มันกำลังสะบัดอยู่ทุกวัน
แต่เราแค่ “ไม่รู้ตัว” ว่าเรากำลังหล่นอยู่แล้ว
หนูเองก็แค่เด็กคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ แล้วคิดฟุ้งไปไกล
แต่ก็อยากเอามาแบ่งปันให้ใครสักคนได้อ่าน เผื่อจะฟุ้งไปด้วยกัน

ขอบคุณนะคะ (เผื่อมีใครเสียเวลาอ่านตัวอักษรที่ยาวเหยียดขนาดนี้) ;)
ข. เขียนนะ
หนูเลือกดูหน้าปกที่หน้าสนใจ (เอาตามใจตัวเองแหละค่ะ😹) เลยไปเจอเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นยมบาล (ใครไม่รู้??!) บอกว่า "ถ้าเจ้าปีนขึ้นไปเอามาได้ข้าจะให้ไปเกิดใหม่" ให้ปีนไปเอาอั่งเปาไปเกิดใหม่บนต้นงิ้วน่ะค่ะ ฉบับที่ 8 2553 หน้าที่ 52 ตอนหนูอ่านหนูชอบมากเลยค่ะ ที่อ่าน ข. เขียนนะในหนังสือฮาจะเกร็งที่แม่ซื้อไว้ ชอบเล่มนี้มากเพราะหน้านี้เลยค่ะ
ฮาจะเกร็ง ฉบับที่ 8 2553
ข. เขียนนะ
ใต้เงาราหู
ข่าววิบัติภัยจากทั่วโลกในระยะนี้ดูเหมือนจะมีมากกว่าปกติอยู่บ้าง มันทำให้ผมหวนนึกถึงคำถามที่ติดอยู่ในใจมานานหลายเดือนแล้ว กับคำถามที่ว่า....
“คุณรู้จักโลกใบนี้ดีแค่ไหน”
คนที่ถามคำถามนี้กับผม เป็นชายที่กำลังเมาแทบไม่ได้สติ แต่แปลกมั้ยที่บางครั้งผมกลับคิดว่าคนที่ไม่ได้สติจริง ๆ กลับเป็นพวกเรามนุษย์ผู้โง่เขลากว่าหกพันล้านคน ที่ยังมัวเมากินอยู่ขับถ่ายบนร่างกายของยักษ์ใหญ่ราหูตนนี้... ที่กำลังถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล
ผมเป็นนักข่าวอาวุโสของสำนักพิมพ์ต่างประเทศแห่งหนึ่ง งานเขียนขาวเชิงเจาะลึกทำให้ผมมีโอกาสเดินทางบ่อย ๆ เมื่อกลางปีที่แล้วผมถูกส่งตัวไปหาข่าวแถว ๆ ทะเลทรายในแอริโอโซนเกี่ยวกับข่าวโคมลอย เรื่องคนที่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แน่นอนว่าผมคว้าน้ำเหลว มันเหลวเสียจนผมไม่มีทางปั้นให้เป็นตัวเพื่อขายข่าวได้ แต่ในฐานะนักข่าวผมรู้ดีว่าการเสียค่าใช้จ่ายของโรงพิมพ์โดยไม่ได้ข่าวตอบแทน คนที่จะต้องขาดทุนมากที่สุดก็คือตัวผมเอง โชคดีที่ผมพอจะหาข่าวเล็ก ๆ ระดับขนมคบเคี้ยวได้บ้าง จากนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกรีไทร์จากโครงการเซติ พวกนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้พบรูปแบบใหม่ของคลื่นวิทยุดาวพัลซาร์ กับข่าวคำนวณความเข้มข้นของกระแสลมสุริยะในปี ค.ศ. 2012
คืนก่อนขึ้นเครื่องเพื่อกลับสำนักพิมพ์ ผมได้แวะไปที่ผับเล็กๆ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนของช่างเทคนิคโครงการต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาอะไรแก้เซ็งมากกว่าจะคิดเสาะหาสะเก็ดหรือรังแคข่าว ชายคนหนึ่งที่นั่งดื่มอย่างหนักในมุมมืดของร้าน ที่ผมสนใจเขาเพราะเสียงพึมพำที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนกับผม ผมถือวิสาสะเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆเขาทันที
“โลกมันมีไว้ให้เราเหยียบนะครับ ไม่ได้มีไว้ให้เราแบก” ผมทักทายเขา ที่วางสีหน้าเหมือนแบกโลกไว้
“แล้วคุณ... รู้จักโลกใบนี้มากแค่ไหน!” ผมรู้สึกได้ว่ามีความคิดเยาะหยันในน้ำเสียงนั้น
“อาจไม่มากเท่าคุณแต่ผมก็ผ่านโลกมาไม่น้อยแล้ว” ผมตอบเป็นเชิงเอาใจ
“ไม่ใช่ ๆ ผมไม่ได้หมายถึงสังคมโลก ผมหมายถึงตัวตนของโลกต่างหาก”
“อ้อ... ผมเคยเรียนมา โลกมีแกนเอียงทำมุมกับดวงอาทิตย์ราวๆยี่สิบสามองศา มีพื้นดินหนึ่งในสี่ราว ๆ เกือบยี่สิบล้านตารางไมล์ ประเทศต่าง ๆ ก็สักร้อยเก้าสิบกว่าประเทศแล้วมั้ง” ผมพูดน้ำเสียงพยายามให้ดูเป็นมิตร
“แล้วคุณจะเชื่อมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า.... โลกมีชีวิต มีจิตใจ มีความคิด!” ชายคนนั้นเน้นคำพูดราวกับพยายามให้เชื่อ ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
“ผมจำได้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเคยเสนอทฤษฎีคล้าย ๆ แบบนี้” ผมว่าหมอนี่คงเคยอ่านหนังสือของพวกสติเฟื่องมาแน่ ๆ
“ขอโทษนะ ที่คุณพูดมาคงหมายถึงทฤษฎีไกอา หรือแม่พระธรณีใช่มั้ย มันไม่ใช่ทฤษฎีของพวกสติเฟื่องหรอกนะ” น้ำเสียงเขาเริ่มไม่พอใจ
“เสียใจที่ทำให่คุณโกรธ ผมไม่ได้คิดว่าจะทำร้ายใคร ผมเพียงแต่ตามไม่ทันความคิดนั้นเท่านั้น มันฟังดู... โลกที่เราอยู่เนี่ยนะเป็นสิ่งมีชีวิต มันดูไม่เหมือนเลยสักนิด”
“นั่นเป็นเพราะเราใช้สามัญสำนึกแบบมนุษย์ไปกำหนดวัดน่ะสิ...” ชายคนนั้นพูพลางเหลือบมองแขนของผม
“เห็นแมลงวันที่เกาพลนแขนของคุณมั้ย ด้วยสติปัญญาของมัน คุณคิดว่ามันจะรู้มั้ยว่าแขนที่มันเกาะอยู่เป็นของใคร ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน... ไม่เลย สิ่งที่มันรู้เป็นแค่ระดับจิตที่แมลงวันจะสัมผัสรับได้เท่านั้น แล้วถ้าโลกมีชีวิตจริง ๆ จิตอันกระจ้อยร่อย สมองอันน้อยนิดของมนุษย์จะมีปัญญาสัมผัสรับรู้ของจิตในระดับดาวเคราะห์น้อยอย่างโลกได้รึเปล่า” คำอธิบายนั้นทำให้ผมครุนคิดก่อนจะผละมันออกไป คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่เขาอยากให้เป็น และไม่เชื่อในสิ่งที่เขาไม่อยากให้เป้นกันทั้งนั้น
“หลายปีก่อนมีนักวิทยาศาสตร์รวมตัวกันทำวิจัยข้อสงสัยของพวกเขา ส่วนใหญ่แฝงตัวอยู่ในองค์ขนาดใหญ่เพื่อจะได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ ตอนนั้นผมกำลังทำปริญญาเอกอยู่ และมีโอกาสได้เข้าร่วม เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาพาเข้าไป พวกเราพัฒนาทฤษฎีจนพอใช้มันทำนายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ เราค้นพบว่าปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติล้วนมีรูปแบบผูกพันโยงใยกัน ไม่ว่าจะเป็นการอพยพย้ายถิ่นของนกบนฟ้าหรือปลาไหลในทะเล ฝูงผีเสื้อหรือตั๊กแตนที่บินข้ามถิ่นเป็นร้อย ๆไมล์ จนถึงแพลงก์ตอนหรือคริวว์พืชสัตว์จิ๋วในทะเล ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือกระบวนการสร้างสมดุลเคมีในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เหมือนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายเราหรือเซลล์ ดังนั้นเราจึงเริ่มศึกษาสนามแม่เหล็กโลก...”
“เรามีข้อมูลย้อนหลังของสนามแม่เหล็กโลก จนพบว่าในคลื่นแม่เหล็กโลกนั้นมีคลื่นประหลาด คลื่นตัวนี้มักจะเกิดก่อนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติครั้งใหญ่ของโลกทุกครั้ง เราคิดว่ามันคือ... คลื่นความคิดของโลก!”
“เดี๋ยวก่อน คุณหมายความว่าคลื่นจะแรงขึ้นก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วมอะไรพวกนี้หรือเปล่า”
“หัวไวไม่เลวเลย เราเคยได้ยินว่ามีนักบุญหรือศาสดาพยากรณ์ในอดีตบางท่านสามารถทำนายวิบัติภัยได้ล่วงหน้า อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่อ่านความคิดของโลกออก โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์”
“พวกคุณคงได้รางวัลโนเบลแน่ๆผมว่านะ”
“รางวัลโนเบลน่ะเรอะ มันไม่มีความหมายหรอก ถ้าไม่เหลือใครไว้ให้ชื่นชม เมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม โรงงานและเขื่อนกั้นน้ำถูกสร้างขึ้นมา ตอนนั้นโลกมีประชากรมนุษย์แค่เก้าร้อยกว่าล้านคน พื้นที่ป่าเกินกว่าสิบล้านตารางไมล์ แต่เพียงแค่สองชั่วอายุคน เทคโนโลยีก็ก้าวกระโดดราวกับเนรมิต เรามีโรงงาน เมืองใหญ่ เขื่อนกั้นน้ำ ไฟฟ้าและตลาดหุ้น ประชากรเพิ่มเป็นหกพันล้านแต่ป่าไม้เหลือไม่ถึงสามล้านตารางไมล์ เกิดมลภาวะ ปัญหาชั้นโอโซนและกรีนเฮ้าส์เอฟเฟ็กต์ มนุษย์เราพึ่งเริ่มจะรับรู้ว่ามันเป็นปัญหา แต่ตอนนี้คลื่นความคิดของโลกเปลี่ยนไปมาก มากจนน่ากลัว”
“หมายความว่า ตอนนี้โลกคิดว่าควรจะทำให้เกิดน้ำท่วมหรือพายุกระหน่ำอีกแล้วใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่แค่นั้น ความไม่รู้จักพอของมนุษย์ การพัฒนาแบบหน้ามืด ปลูกให้โลกตื่นจากการหลับใหลหลายสิบล้านปี แล้วพบว่าเผ่าพันธุ์ยืนตัวตรงที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามล้านปีก่อน กำลังทำตัวเป็นปรสิตกัดแทะร่างกายของโลกอย่างมูมมาม ถ้ามียุงกัดคุณ คุณจะทำยังไง นั่นแหละคำตอบ”
“จากคลื่นความคิดของโลกที่เราอ่านได้ โลกคิดจะลดจำนวนมนุษย์ลงในระดับที่โลกรู้สึกสบายตัว ขั้นแรกเริ่มต้นด้วยพายุหรือน้ำท่วม คลื่นยักษ์สึนามิกับพายุทอร์นาโด แล้วตามด้วยแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด แล้วสุดท้ายก็จะเกิดโรคระบาดและขาดแคลนอาหาร จนกว่าปัญหามลภาวะมนุษย์จะหมดลง นั่นแหละโลกถึงจะหยุด”
“พวกคุณควรจะบอกปัญหานี้ให้คนมีอำนาจรับรู้ไว้นะ บางทีอาจจะพอแก้ไขได้”
“เราบอกแล้ว สองสามสัปดาห์มานี่เอง แต่สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเขามองว่าเราเป็นเหมือนพวกตัวตลกละครสัตว์พวกสติเฟื่องอยากดัง ความคิดของพวกเราล้ำหน้าเกินไป จนแม้แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองยังไม่เข้าใจและไม่ยอมรับฟังคำอธิบาย อย่าว่าแต่พวกนักการเมือง หรือนักธุรกิจเลย ตอนนี้พวกเขาคิดจะเล่นงานเราในข้อหาฉ้อฉล เอางบประมาณกับอุปกรณ์รัฐและองค์กรไปใช้ในกิจการส่วนตัว พวกเราหลายคนถูกไล่ออกและกำลังถูกจับขึ้นศาล ส่วนพวกนักธุรกิจถ้าบอกไปสิ่งแรกที่เขาจะทำคือต้องรีบขายหุ้นออกไปไม่มีใครสนใจปัญหาการอยู่รอดของมนุษยชาติจริง ๆ หรอก”
“แล้วพวกคุณจะทำยังไงต่อไป”
“จะทำอะไรได้ งานของพวกเราจบลงแล้ว... พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้าน ใช้ชีวิตที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย รอดูข่าวน้ำท่วม พายุใหญ่ คลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว แล้วก็.. บิงโก! หวังว่าในวันสิ้นโลก สวนสนุกจะเปิดนะ....” ชายคนนั้นพูดงึมงัมเบา ๆ เมื่อผมเงี่ยหูฟัง จึงรู้ว่าเป็นบทสวด แล้วเขาก็ฟุบหลับไป ผมลุกไปจ่ายเงินให้เขาเพื่อนไทยสติเฟื่องที่ผมไม่รู้จักชื่อ ก่อนจะเดินออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ติดอยู่ในใจมาตลอด
ข่าวมหาภัยพิบัติแผ่นดินไหวในเฮติกับข่าวคลื่นความหนาวถล่มจีนและยุโรปในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมนึกถึงหน้าชายแปลกหน้าคนนั้นอีกครั้งกับความคิดเพ้อเจ้อของเขา ในหน้าหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ ที่คาดการว่าอาหารจะขาดแคลนทั่วโลกในปีนี้ ข่าวที่ผึ้งในอเมริกาพากันล้มตายลงกว่าครึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ พร้อมกับข่าวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เริ่มกลายพันธุ์... มันทำให้ผมคิดถึงครอบครัวที่เมืองไทยจนท่วมท้นหัวใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บ่ายนี้ผมจะไปยื่นใบลาออกอยากกลับบ้านเหลือเกิน อยากพาครอบครัวไปเที่ยวสวนสนุก แล้วผมก็เริ่มต้นสวดมนต์...
เรื่องโดย : คุณอรรถพร คมขำ
"ผมอยากกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว ก่อนที่โลกจะแตก"
มันเหมือนเสียงจากใครสักคนที่ “ตาสว่าง” ขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่ยังหลับใหล จริง ๆ มันอาจไม่ได้แปลว่าเขากลัวโลกจะแตกแบบหนังเป๊ะ ๆ แต่มันเหมือนเขา “เข้าใจอะไรบางอย่าง” และรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันมันไม่ใช่ เลยอยากกลับไปใช้เวลากับสิ่งที่ “มีความหมายจริง ๆ”
บางทีเราอาจไม่ได้อยู่บนโลก
แต่อยู่ "ใน" ตัวของบางสิ่งที่ใหญ่เกินจะเข้าใจ
เหมือนที่ปรสิตตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่บนหลังของยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะพลิกตัว
เราใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่กับมัน... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ของเราคือแผลขนาดใหญ่
ถ้าวันนึงโลกจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ
เราจะทันขอโทษมันก่อนจะโดนสะบัดหลุดไปมั้ยนะ?
...หรือที่จริงแล้ว
มันกำลังสะบัดอยู่ทุกวัน
แต่เราแค่ “ไม่รู้ตัว” ว่าเรากำลังหล่นอยู่แล้ว
หนูเองก็แค่เด็กคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ แล้วคิดฟุ้งไปไกล
แต่ก็อยากเอามาแบ่งปันให้ใครสักคนได้อ่าน เผื่อจะฟุ้งไปด้วยกัน
ขอบคุณนะคะ (เผื่อมีใครเสียเวลาอ่านตัวอักษรที่ยาวเหยียดขนาดนี้) ;)