ธุรกิจ กับ คุณธรรม ไปด้วยกันไม่ได้? เมื่อโลกชวนตั้งคำถามนี้กันใหม่อีกครั้ง

ธุรกิจ กับ คุณธรรม ไปด้วยกันไม่ได้
เพราะธุรกิจต้องมุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก

เรามาถอดไอเดียนี้กันว่ามีที่มาจากไหน
เชื่อหรือไม่ว่า หลักคิดนี้ เกิดจาก การคิดแบบทุนนิยม
ในศตวรรษที่ 16 ไม่ใช่หลักคิดทางศาสนา
หรือจริยธรรมใดๆ แอดจะเล่าให้ฟัง

ในศาสนาส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ รวมทั้งศาสนาอิสลาม
มีหลักการว่า การทำธุรกิจด้วยความดี
เป็นการปฏิบัติธรรมของมุสลิมข้อหนึ่ง เช่น การทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบการทำธุรกิจที่ไม่ทำร้ายสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
การทำธุรกิจที่ไม่เอารัดเอาเปรียบคนทำงานหรือแรงงาน
การทำธรุกิจที่ซื่อสัตย์ ต่อภาคีต่างๆ
การทำธุรกิจทีดี เป็นการทำความดีเช่นกัน

แล้วเกิดอะไรขึ้น ในประวัติศาสตร์โลก
ในศตรรวรรษที่ 16 Adam Smith (ค.ศ. 1776) ตีพิมพ์ The Wealth of Nations ซึ่งเสนอแนวคิดว่า "ตลาดเสรีจะนำพาสังคมไปในทางที่ดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ศีลธรรมทางศาสนาควบคุม" อันนี้คือก การถือกำเนิดของทุนนิยม (Capitalism)

แรงขับเคลื่อนนี้ทำให้
ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 – 19 การแสวงหากำไรกลายเป็นแก่นกลางของระบบเศรษฐกิจ ทำให้หลายธุรกิจแยก "คุณธรรม" ออกจาก "ผลประกอบการ" เรียกว่ายุค การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)

หลังจากนั้น ธุรกิจ และ ผลประกอบการ ก็แยกจากคุณธรรมโดยสมบูรณ์ ธุรกิจจึงเป็นเรื่องของการแสวงผลกำไรสูงสุด

แน่นอนมันมีศักยภาพมาก ระบบทุนนิยมแบบเสรีสามารถผลักดันนวัตกรรม เพิ่มผลิตภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างปัญหาตามมาอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การกดขี่แรงงาน การทำลายสิ่งแวดล้อม และการทำให้คุณค่าของมนุษย์ถูกลดทอนให้เหลือเพียง “ต้นทุน” หรือ “กำไร”

ปัญหาเหล่านี้เรื้อรังและลุกลาม จนทำให้องค์กรระหว่างประเทศอย่าง สหประชาชาติ (UN) ต้องเข้ามาแทรกแซง ผ่านนโยบายอย่าง Global Compact, SDGs (Sustainable Development Goals) และการผลักดันให้รัฐออกกฎหมายควบคุมธุรกิจให้ “รับผิดชอบต่อสังคม” มากขึ้น

อย่างไรก็ดี มาตรการจากรัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ลึกซึ้ง เนื่องจากแรงจูงใจหลักของระบบทุนนิยมยังคงเป็น "กำไรสูงสุด" โดยธรรมชาติ รวมทั้งความไม่เสถียรของรัฐบาลต่างๆทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนทุก2-3 ปี ทำให้นโยบายต่างๆที่ผลักดัน ไม่ต่อเนื่องหรือยุติลง

จนกระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ แนวคิด Social Enterprise (SE) หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม จึงเริ่มถือกำเนิดขึ้น เป็นการรวมเอาพลังของธุรกิจเข้ากับหัวใจของคุณธรรม โดยไม่ต้องรอให้รัฐมาบังคับ หรือหวังพึ่งเพียงการบริจาคแบบการกุศล ต้องทั้งพึ่งตัวเองได้ และให้ สิ่งทีค้าขายกระทบกับสังคม

นั่นคือจุดกำเนิดของ ธุรกิจเพื่อสังคม และกลายเป็น “ทางเลือกที่สาม” ระหว่าง ทุนนิยมกลุ่มที่ไร้จริยธรรม กับ รัฐสวัสดิการที่ล้มเหลว โดยยืนอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า

“ธุรกิจที่ดี ไม่ควรทำเพียงเพื่อกำไร — แต่ต้องสร้างโลกที่ดีด้วย”

ดังนั้น ในโมเดลของธุรกิจ SE นอกจาก ต้องตอบสนองคุณค่าส่วนบุคคลของผู้ซื้อแล้ว จึงต้องตอบสอง คุณค่าทางสังคมไปพร้อมๆกัน ในตัวโมเดลธุรกิจตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากสำหรับผู้ประกอบการ

แนวคิดของ SE ไม่ใช่เรื่องการรวมทุนเข้ากับศาสนา หรือให้ทุนไปรับใช้สังคม แต่เป็นการหาชายแดนแห่งความสมดุลระหว่างการประกอบการและ การสร้างผลกระทบทางสังคมที่เป็นรูปธรรมต่อไป

ถ้าเราเชื่อว่า ธุรกิจ กับ คุณธรรมไปกันไม่ได้
นั่นเพราะเรายังติดอยู่ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจทุนนิยม
วันนี้ มีทางเลือกใหม่ เพื่อกลับสู่รากฐานเดิม

ว่าธุรกิจที่ดีคือการปฏิบัติธรรม
จงทำธุรกิจด้วยความดี เท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนา
หรือไม่นับถือศาสนาเพื่อแสวงว่า ผลตอบแทน ทั้งโลกนี้และโลกหน้าไปควบคู่กัน

เยาฮารี ถกกับ ChatGPT ยามเช้า

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่