เนื่องด้วยเคยได้รับปากคุณสมาชิคหมายเลข 4607373 ไว้ว่าจะเหลาเรื่องเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในกระทู้ “เปิดใจทำไมคนไทยเอาแต่โทษรัฐบาล” แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้เขียนซักที ^^”
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมีพื้นฐานมาจากนักเศรษฐศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ ที่มีชื่อว่า อดัม สมิธ โดยมีแนวคิดที่ว่าสังคมจะได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อเปิดโอกาศให้บุคคลสามารถแสวงหาความร่ำรวยส่วนบุคคลได้ ซึ่งในสถานการณ์นี้บุคคลจะทุ่มเทความรู้ความสามารถที่มีเพื่อผลิตสินค้าและบริการเพื่อแลกกับผลกำไรและความมั่งคั่ง
โดยสังคมจะได้ประโยชน์จากกลไกที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น (Invisible Hand) ซึ่งจะยกตัวอย่างได้อย่างเช่นมีผู้ประกอบการคนหนึ่งต้องการจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำออกขายเพื่อทำกำไร ผู้ประกอบการคนนั้นก็จะต้องทำการสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร และจ้างพนักงานเพื่อมาทำงานในโรงงาน ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน อีกทั้งถ้ากิจการไปได้ด้วยดีก็จะเกิดธุรกิจต่อเนื่องอย่างเช่น ธุรกิจขายแป้งสาลีเพื่อมาผลิตเส้น น้ำมันปาล์มเพื่อมาทอดเส้น ชาวสวนข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก เพื่อมาทำซองเครื่องปรุง และอีกสารพัด ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศโดยทางอ้อม โดยหลักของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะมี 4 ข้อดังนี้
1. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะแสวงหาความร่ำรวย (แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงกรณีเจ้งหมดตัวด้วยนะครับ)
2. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะเป็นเจ้าของที่ดินและปัจจัยในการผลิต
3. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดโดยเสรี
4. รัฐควรจะเข้ามายุ่งกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้น้อยที่สุดโดยควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ออกกฎเท่านั้น
ทีนี้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะมอบความมั่งคั่งให้กับคนที่ตอบคำถามเศรษฐกิจดังต่อไปนี้ได้
1. จะผลิตสินค้าและบริการอะไร (What)
2. จะผลิตสินค้าและบริการนั้นอย่างไร (How)
3. จะขายสินค้าและบริการนั้นให้ใคร (For Whom)
ดังนั้นสรุปก็คือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมประชาชนต้องเป็นคนคิดเองว่าจะผลิตสินค้าอะไรก็ได้ที่จะเพิ่มความร่ำรวยให้ตนเอง อะไรที่ทำแล้วขาดทุนก็อย่าไปทำ ใครก็เอาปืนมาจ่อหัวคุณให้ทำสิ่งที่ขาดทุนไม่ได้ ถ้าต้องการให้รัฐบอกว่าคุณต้องผลิตอะไรแล้วการันตีกำไรแสดงว่าคุณอยู่ผิดระบบแล้วครับคุณต้องอยู่ระบบคอมมิวนิสต์ (Communist) ถึงจะเป็นแบบนั้น แล้วถ้าผลิตอะไรแต่ไม่รวยซักทีให้ย้อนกลับไปดูว่าเราได้ตอบคำถามเศรษฐกิจทั้ง 3 ข้อถูกรึยังครับ
พบกันใหม่กระทู้ถัดไปครับผม (ถ้ามีนะ ^^”)

“ไม่ใช่เพราะความเมตตากรุณาของคนขายเนื้อ คนต้มเหล้า หรือคนอบขนมปัง พวกเราถึงได้มีอาหารมื้อค่ำ หากแต่เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์จากการทำธุรกิจของตนเอง"
$$$สาระเหมือนจะมี_ตอนที่1_ว่าด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม$$$---akkamai---
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมีพื้นฐานมาจากนักเศรษฐศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ ที่มีชื่อว่า อดัม สมิธ โดยมีแนวคิดที่ว่าสังคมจะได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อเปิดโอกาศให้บุคคลสามารถแสวงหาความร่ำรวยส่วนบุคคลได้ ซึ่งในสถานการณ์นี้บุคคลจะทุ่มเทความรู้ความสามารถที่มีเพื่อผลิตสินค้าและบริการเพื่อแลกกับผลกำไรและความมั่งคั่ง
โดยสังคมจะได้ประโยชน์จากกลไกที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น (Invisible Hand) ซึ่งจะยกตัวอย่างได้อย่างเช่นมีผู้ประกอบการคนหนึ่งต้องการจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำออกขายเพื่อทำกำไร ผู้ประกอบการคนนั้นก็จะต้องทำการสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร และจ้างพนักงานเพื่อมาทำงานในโรงงาน ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน อีกทั้งถ้ากิจการไปได้ด้วยดีก็จะเกิดธุรกิจต่อเนื่องอย่างเช่น ธุรกิจขายแป้งสาลีเพื่อมาผลิตเส้น น้ำมันปาล์มเพื่อมาทอดเส้น ชาวสวนข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก เพื่อมาทำซองเครื่องปรุง และอีกสารพัด ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศโดยทางอ้อม โดยหลักของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะมี 4 ข้อดังนี้
1. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะแสวงหาความร่ำรวย (แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงกรณีเจ้งหมดตัวด้วยนะครับ)
2. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะเป็นเจ้าของที่ดินและปัจจัยในการผลิต
3. ทุกคนมีสิทธ์ที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดโดยเสรี
4. รัฐควรจะเข้ามายุ่งกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้น้อยที่สุดโดยควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ออกกฎเท่านั้น
ทีนี้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะมอบความมั่งคั่งให้กับคนที่ตอบคำถามเศรษฐกิจดังต่อไปนี้ได้
1. จะผลิตสินค้าและบริการอะไร (What)
2. จะผลิตสินค้าและบริการนั้นอย่างไร (How)
3. จะขายสินค้าและบริการนั้นให้ใคร (For Whom)
ดังนั้นสรุปก็คือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมประชาชนต้องเป็นคนคิดเองว่าจะผลิตสินค้าอะไรก็ได้ที่จะเพิ่มความร่ำรวยให้ตนเอง อะไรที่ทำแล้วขาดทุนก็อย่าไปทำ ใครก็เอาปืนมาจ่อหัวคุณให้ทำสิ่งที่ขาดทุนไม่ได้ ถ้าต้องการให้รัฐบอกว่าคุณต้องผลิตอะไรแล้วการันตีกำไรแสดงว่าคุณอยู่ผิดระบบแล้วครับคุณต้องอยู่ระบบคอมมิวนิสต์ (Communist) ถึงจะเป็นแบบนั้น แล้วถ้าผลิตอะไรแต่ไม่รวยซักทีให้ย้อนกลับไปดูว่าเราได้ตอบคำถามเศรษฐกิจทั้ง 3 ข้อถูกรึยังครับ
พบกันใหม่กระทู้ถัดไปครับผม (ถ้ามีนะ ^^”)
“ไม่ใช่เพราะความเมตตากรุณาของคนขายเนื้อ คนต้มเหล้า หรือคนอบขนมปัง พวกเราถึงได้มีอาหารมื้อค่ำ หากแต่เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์จากการทำธุรกิจของตนเอง"