สรุปวิกฤติ KTC เศรษฐีหุ้นไทย 10,000 ล้านบาท เจอระเบิด ฟอร์ซเซล /โดย ลงทุนแมน

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็น “เรื่องใหญ่สุด” ของวงการตลาดทุนในตอนนี้
ถ้าเรามีทรัพย์สินมูลค่า 10,000 ล้านบาท
เราจะรู้สึกอย่างไร หากมีคนมาบังคับให้เราขายทรัพย์สินนั้น ในราคา 8,000 ล้านบาท
และหากไม่มีใครเอาเงินมาซื้อ ก็จะถูกบังคับให้ขายในราคา 6,000 ล้านบาท

ถ้าไม่มีใครมาซื้อในวันต่อมา ก็จะถูกบังคับขายในราคาที่ลดลงเรื่อย ๆ
4,000 ล้านบาท
2,000 ล้านบาท
1,000 ล้านบาท

ทุกคนคงคิดว่าใครจะยอมให้ถูกทำแบบนี้
แต่เรื่องราวทำนองนี้มันกำลังเกิดขึ้นจริงกับ
หุ้นใหญ่ที่เคยมีมูลค่าบริษัทหลักแสนล้านบาทชื่อ KTC
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกิจการของ KTC ใด ๆ
แต่เกิดเพราะนักลงทุนที่เจอบังคับขายหุ้น

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

KTC เป็นหุ้นที่ใหญ่ติด 100 บริษัทแรกของไทย หรือเรียกกันว่า SET100

หุ้นนี้เคยเป็นหุ้นยอดฮิตของนักงทุน VI หลายคน
บริษัทมีรายได้จากสินเชื่อบัตรเครดิต KTC

ตามข้อมูลวันที่ 18 เมษายน 2568
บริษัท KTC มีผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคือ ธนาคารกรุงไทย ถืออยู่ 49.29%

ที่น่าสนใจคือ บริษัทนี้มีนักลงทุนรายใหญ่ท่านหนึ่งถือครองหุ้น KTC มากถึง 12.7% หรือ 327 ล้านหุ้น
เรียกได้ว่าถ้าคูณตัวเลขราคาหุ้นก่อนที่จะเกิดวิกฤติ จะได้มูลค่าเป็นหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

ถ้าไล่เรียงเวลาย้อนหลัง จะพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา KTC เคยมีช่วงที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหลายเท่า

และนักลงทุนท่านนี้ได้ลงทุน KTC ไว้ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น และได้กำไรเป็นจำนวนมาก จนมีมูลค่าทรัพย์สินติดอันดับต้น ๆ ในเศรษฐีหุ้นไทย
เรื่องราวความสำเร็จเป็นตำนานที่เล่าขานกันในกลุ่มนักลงทุนไทย

และเป็นตัวอย่างที่ใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ว่ารวยด้วยตัวเองเป็นหมื่นล้าน ก็ทำได้จริงในตลาดหุ้นไทย

แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ในเช้าวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568
น่าจะเป็นเช้าที่ไม่มีวันลืมของผู้ถือหุ้น KTC ทุกคน โดยเฉพาะนักลงทุนท่านนี้

ในวันก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดจากสงคราม อิหร่าน - อิสราเอล จากเดิมที่ให้ราคาบวกลบสูงสุด 30% ให้กลายเป็น 15%

เช้าวันที่เกิดเหตุการณ์หุ้น KTC ร่วงลงแตะ Floor ที่ -15%
ทุกคนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะในวันนั้นตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ปรับตัวลงแรงมาก ไม่ได้กลัวสงครามอะไรเท่าไร

แต่หุ้น KTC กับหุ้นอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น BEC, XPG, TPS ร่วงติด Floor โดยไม่สนใจใคร

โดยมีความเชื่อมโยงก็คือ หุ้นทั้ง 4 ตัวนี้มีผู้ถือหุ้นคนเดียวกัน
ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการถูกบังคับขายหุ้นทุกราคา (ฟอร์ซเซล) เพราะการใช้บัญชีมาร์จินกู้เงินมาลงทุน
ซึ่งการกู้เงินมาซื้อหุ้นนี่แหละ คือต้นเหตุของระเบิดฟอร์ซเซลลูกนี้

เรามาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ กันว่าทำไมการกู้เงินมาลงทุนถึงถูกบังคับขายได้

หุ้นเกรดดีอย่าง KTC โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้กู้เงินมากถึงเท่าตัวในการลงทุนในบัญชีมาร์จิน

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจ่ายเงินซื้อหุ้น KTC 5,000 บาท โบรกเกอร์จะให้กู้ได้สูงสุดอีก 5,000 บาท เพื่อซื้อหุ้น KTC รวมกันได้มูลค่า 10,000 บาท

แต่โบรกเกอร์ก็ปิดความเสี่ยงด้วยการกำหนดว่าถ้าหุ้น KTC ตกลงมา จนน้อยกว่าที่กำหนด แล้วเราไม่มีเงินมาเติม เราก็จะถูกบังคับขายทุกราคา

และสำหรับนักลงทุนท่านนี้เขาไม่ได้กู้เงินเพื่อซื้อเพียงหลักหมื่นบาท แต่เป็นหลัก “หมื่นล้านบาท” มันจึงกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่มากเมื่อราคาหุ้นร่วงลงแรง

ยกตัวอย่างการตกลงของราคา KTC ที่มูลค่า 10,000 ล้านบาท
(เป็นการเปรียบเทียบ ไม่ใช่ตัวเลขจริง)

ถ้ากู้เงินแบบ 1:1

มูลค่า KTC 10,000 ล้านบาท เป็นส่วนของเงินกู้ 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุน 5,000 ล้านบาท

ถ้าราคาหุ้นร่วงลงจนทำให้ KTC มีมูลค่าเหลือ 8,000 ล้านบาท เงินกู้จะอยู่คงเดิม 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุนจะเหลือ 3,000 ล้านบาท

คำถามก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะถูกบังคับขายทุกราคา ?
โดยส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ไทยกำหนดว่าถ้าเงินของนักลงทุนเหลือไม่ถึง 25% ของมูลค่าหุ้นจะถูกบังคับขายทุกราคา

อย่างในกรณีนี้
ถ้ามูลค่า KTC 6,650 ล้านบาท เงินกู้จะอยู่คงเดิม 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุนจะเหลือ 1,650 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 24.8% จะถูกบังคับขายทุกราคา

สังเกตว่าในกรณีนี้หุ้น KTC ร่วงลง 33.5% ก็จะถูกบังคับขายทุกราคาแล้ว
และเงินของนักลงทุนจาก 5,000 ล้านบาท ก็จะเหลือเพียง 1,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดทุนมากถึง 67%

แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้
ถ้านักลงทุนมีหุ้นจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไร ก็คงจะขายในตลาดที่มีคนรับซื้อ

แต่ถ้าเงินมันเป็นจำนวนมากหลักพันล้านบาท
ทุกคนในตลาดก็คงตกใจ เหมือนกรณี KTC ที่มีคนเสนอขายที่ Floor 200 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 25 บาท ก็แปลว่าต้องใช้เงินมากถึง 5,000 ล้านบาทมารับซื้อเลยทีเดียว

ถ้าไม่มีคนมารับซื้อ
ในวันถัดมา โบรกเกอร์ก็จะขายที่ราคาหุ้นติด Floor ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่มาเริ่มรับซื้อ

และนี่ก็คือเรื่องราวของ KTC ที่เป็นกรณีศึกษาให้เราได้เรียนรู้ว่า
การกู้เงินมาลงทุนในหุ้นนี้อันตรายมาก เหมือนระเบิดเวลาในวันที่หุ้นลง

หากเราหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำ เพราะการค่อย ๆ รวยขึ้น ก็ยังจะดีกว่ารวยแบบรวดเร็ว แล้วสุดท้ายมาเจอระเบิดทำให้มูลค่าทรัพย์สินหายไปในพริบตา

อย่างในกรณีนี้ หากหุ้น KTC ยังร่วงลงต่อ แล้วไม่มีใครมารับซื้อ

เงินของนักลงทุนจาก 5,000 ล้านบาท มีโอกาสที่จะกลายเป็น 0 บาทได้
และในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ
มันอาจถึงขั้นเป็นหนี้โบรกเกอร์หลัก 1,000 ล้านบาทได้เช่นกัน..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่