เราอยู่ในยุคที่สะท้อนให้เห็นว่า
"...ระบบอาหารของเราพังขนาดไหน เพราะแค่การกินอาหารธรรมดาก็ทำให้คุณกลายเป็นคนเพี้ยนที่คลั่งเรื่องการกินไปแล้ว..."
#ฉันเพียงแค่คน(เพี้ยนคนหนึ่ง)เดินผ่านมา...
บางที่การจะเล่าเรื่องนี้ ก็เหมือนกับการหาคนคุยสักคนเรื่องชีวิต
หรือเรื่องธรรมะ มันยากเสียจนคนไม่อาจจะเข้าใจได้
(ซึ่งเราเองก็แค่ก้าวเท้าเข้าไปเปิดใจรับรู้เท่านั้นเอง)
มันยากอาจจะไม่ใช่ด้วยเพราะเนื้อหา (เนื้อหาก็ยากอยู่ )
แต่มันยากเพราะมันเป็นพิษที่เราพบเจออยู่ทุกวัน
และทุกคนก็กินยาพิษพร้อมๆ กัน จนคิดว่ามันไม่เป็นไรไปแล้ว
(เช่นเดียวกับการเข้าถึงสภาวธรรม เรารู้ว่าการไม่วิ่งตามอารมณ์มันดียังไง แต่ก็ทำไม่ได้สักที)
พิษนี้ส่งผลรุนแรง ยาวไกลไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่ในทุกมิติของโลกใบนี้ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม
มันเป็นหนึ่งเดียวกันจนเรามองไม่ออก
มีความเลวร้าย ความประมาท ความไม่รอบคอบ มากมายที่ถูกเคลือบด้วยการตีตราขององค์กรมีชื่อเสียง
แม้แต่องค์กรที่ทำหน้าที่ปกป้องและคุ้มภัยให้เรา เราไม่สามารถวางใจใครได้เลย
ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่เปลือกที่ห่อหุ้ม ด้วยมาตรฐานที่เราตั้งขึ้นเอง (มนุษย์ตั้งเอง)
หลายๆ คน พูดว่า "กินๆ ไปเถอะ เดี๋ยวทุกคนก็ตาย"
ใช่ เดี๋ยวทุกคนก็ตาย และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้มาแนะนำการกิน
มันไม่ใช่กงการอะไรของเขา เขายังบอกว่า "Keep eating it"
แต่เค้าคิดว่าทุกคนควรมีข้อมูลในการตัดสินใจว่าสิ่งที่ตัวเองกินเข้าไปนั้นคืออะไร ส่งผลยังไง
อะไรกันแน่ที่เป็นตัวการของโรคอ้วน และโรคอุบัติใหม่หลายๆ โรค ในยุคปัจจุบัน
มันไม่ใช่แค่ว่าคุณกินอาหารอะไรไปก็ได้ จะตายวันไหนก็ได้
แต่เคยตั้งคำถามมั้ยว่าที่กินนั้นเรียกว่า "อาหาร" ได้ไหม?
สำหรับคนที่ตัดสินใจได้ว่าฉันจะตายท่ามกลาง UPF (Ultra-Processed Food: อาหารแปรรูปขั้นสูง) นี่คือความสุขของฉัน
แต่อย่างน้อยถ้าคุณมีครอบครัวโดยเฉพาะเด็กเล็ก คุณควรจะศึกษาและปกป้องไม่ให้เสพติดสารแคมีที่กินได้ แต่ไม่ใช่อาหารเหล่านี้
เพราะเมื่อวันที่เขามีสติปัญญาคิดเอง เขาก็จะเลือกได้ว่า
ฉันอยากตายแบบเดียวกับบรรพบุรุษของฉันมั้ย?
"คุณไม่อยากได้โรคทางพันธุกรรมที่ติดตัวมาแต่เกิด
ลูกคุณเองก็คงไม่อยากได้มันเช่นกัน"
และใช่ เราอาจจะตายด้วยเหตุปัจจัยอื่น หรือการดูแลสุขภาพมากมายเพียงใด ก็อาจจะทำให้ใครบางคนเป็นโรคร้ายอยู่ดี
แต่อย่างน้อยเราก็คงบอกตัวเองและร่างกายได้อย่างภาคภูมิใจได้ว่า
"ฉันพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วนะ แต่โลก(โรค)นี้มันโหดร้ายเกินไปจริงๆ"
ไปลองหาอ่านกันนะ อ่านยากหน่อย แต่สนุกเหมือนดูหนัง (สำหรับเรา)
และหักมุมเยอะมาก น่าจะหักมุมจนถึงวันสิ้นโลกเลย
ขอแปะ การจำแนกอาหารตามแบบ
NOVA classification system
การจำแนกอาการในหนังสือเล่มนี้มี 4 กลุ่ม
1. อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป หรือแปรรูปน้อยมาก
2. อาหารแปรรูปจากสิ่งที่มีในครัวเรือน (หมัก ดอง จากวัตถุดิบตามธรรมชาติ)
3.อาหารแปรรูป คืออาหารที่เสริมเติมแต่งจากการเอาอาหารในกลุ่มที่ 2 ไปแปรรูปอาหารกลุ่มที่ 1 อีกที
4. เจ้าวายร้ายของเรา คืออาหารแปรรูปขั้นสูง น้ำตาลเทียม สารแต่งกลิ่น แต่งสี ทุกชื่อยากๆ ที่ประกอบอยู่ในฉลากอาหาร
คนเขียนให้สังเกตง่ายๆ ว่า ถ้าวัตถุดิบใดไม่พบ ไม่สามารถหาได้ในครัวของเราก็เดาไว้ก่อนว่าเป็น UPF
(ยกเว้นใครมีบ้านเป็นอุตสาหกรรมย่อมๆ คงจะมีสารกันบูด สารคงตัว ฯลฯ)
เสร็จแล้วมันอันตรายยังไง?
มันอันตรายมาก และเป็นต้นตอเกือบทุกโรค อันดับแรก โรคอ้วน
(ผู้เขียนแนะนำไม่ควรจะเรียกเป็นคุณลักษณะของคน เพราะมันคือโรค)
อันที่สองคือเบาหวานชนิดที่ 2 ตามมาด้วยโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า มะเร็ง และทุกๆ อย่างที่ทำให้ชีวิตเราสั้นลง
ที่เน้นย้ำในหลายๆ บท คือ ทำลาย Microbiome หรือชุมชนของจุลินทรีย์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในร่างกาย
ซึ่งในยุคนี้เราค่อนข้างจะรู้อยู่แล้วว่ามันสำคัญเพียงใด
UPF คือสารสังเคราะห์ ที่แต่งกลิ่น แต่งรส แต่งทุกอย่างให้คล้ายเคียงกับอาหารที่เรากินจริงๆ
เช่นเรามีเคมีทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นอาหาร แต่มันไม่มีรสชาติและกลิ่นของอาหารเลย เค้าใช้คำว่า เหมือนกินดิน
เราก็เติมมันลง ไขมัน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เติมสี เติมกลิ่น ให้รู้สึกว่าเป็นอาหารจริง
และการแก้ปัญหาของบริษัทเหล่านี้ คือการแปรรูปให้สูงขึ้นไปอีก
เช่น UPF ทำลายสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย เราก็ใส่จุลินทรีย์ ไปใน UPF เสียเลย (Probiotic, Prebiotic ต่างๆ)
ซึ่งประการสำคัญที่แม้ว่าใส่อะไรที่เป็นประโยชน์ลงไปก็ทำร้ายเราอยู่ดี เพราะสารพวกนี้ไม่มีโครงสร้างหรือเมททริกซ์ของอาหาร
ที่เหมือนกับอาหารที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ เช่น แอปเปิ้ล และน้ำแอปเปิ้ล การกินแอปเปิ้ลทำให้เราอยู่ท้องนานกว่า
เพราะเมทริกซ์ของแอปเปิ้ลประกอบไปด้วยน้ำอยู่ในนั้นด้วย แต่ถ้าเรากินน้ำแอปเปิ้ล โครงสร้างเหล่านี้ก็หายไปทำให้เรากินได้ในปริมาณมากกว่า
และจากการทดสอบน้ำตาลในเลือด หลังกินน้ำแอปเปิ้ลไม่นาน ค่าน้ำตาลในเลือดจะตกไปต่ำกว่าก่อนที่เราจะกินน้ำแอปเปิ้ลเสียอีก
ซึ่งมันทำให้เราหิวบ่อย และกินเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ ความเสียหายหลังจากนั้นก็ต้องไปศึกษากันต่อเรื่อง "อินซูลิน"
นี่ยังไม่พูดถึงสารเคมีชื่อยากๆ อื่นๆ ที่อยู่ในอาหารเยอะมาก ซึ่งหลายอย่างเป็นกากเคมีจากอุตสาหกรรมอื่น
เช่นพาราฟิน ที่อยู่ในโรงงานสบู่ ก็เอามาทำเป็นเนยเทียมได้ (มีอะไรน่าขนลุกในหนังสือเล่มนี้อีกเยอะ)
ผู้เขียนเขาได้บอกว่า เราควรกินอาหาร ไม่ใช่สารอาหาร
และอาหารเสริมไม่ส่งผลใดๆ ต่อบุคคลที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว
#เพี้ยนpat #รีวิวหนังสือ #รีวิวชีวิต #ThankyouChrisvanTulleken #ultraprocessedpeople #อร่อยลวงตา
[CR] อาหารลวงตาย Ultra-Processed People
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้