มรดก ได้ยามสิ้น ชีวัน
สุจริต กลับได้พลัน ยามอยู่
คนเราลักไก่เอาทรัพย์สมบัติเงินทองได้ แต่ไม่อาจลักไก่ให้ได้มาซึ่งความสุจริต
มันเป็นเรื่องหนึ่งที่นานมาแล้ว ในยามที่ผมยังอยู่ในวัยเยาว์ วัยที่เราไม่อาจหาเงินทองได้เยอะๆ ด้วยเหตุผลนานัปการ
ในพุทธศักราช 2547 ร้านหนังสืองอกงาม เพื่อนร่วมรุ่นต่างเป็นนักอ่านตัวยง ผองพวกเขามีสมาธิในการอ่านเรื่องราวที่ชื่นชอบได้นานๆ แม้ผมจะอ่านหนังสือได้บ้างแบบปะติดปะต่อ ก็ยังรักการอ่านเช่นเดียวกับพวกเขา
ประดาหนังสือต่างๆ มีให้อ่านกันมากมาย ในห้องสมุดของโรงเรียนก็เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของเด็กรุ่นๆ ในวัยนั้น วัยที่ทุกอย่างค่อยๆ รังสรรค์บุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งจากการสังเคราะห์ แนวความคิด จิตวิญญาณ ให้เกิดเป็นอัตลักษณ์ที่เด่นชัดในตัวของพวกเขา
ผมก็ยังเป็นผม ที่ชอบอ่านนวนิยายในทำนองรักมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็อดติดตามเพื่อนไปร้านหนังสือ หาเล่มโปรดมาครอบครอง จำได้ว่าหนังสือเล่มแรกๆ ที่พอมีเงินซื้อจะอยู่ในราคาราวหนึ่งร้อยกว่าบาท ซึ่งพอซื้อหนึ่งเล่ม เราก็อยากอ่านอีกหนึ่งเล่มต่อ ปกสวยๆ จำต้องมีไว้ครอบครอง ไม่มีให้เห็นหรือให้ยืมในห้องสมุด
งบประมาณในการได้เงินไปโรงเรียนต่อวันของผมจึงอยู่ประมาณ 50 บาท ได้สำรองไปใช้จ่ายอีกประมาณ 30 บาท ซึ่งตัวเงินสำรองนี่ต้องคืนเข้ากล่องเงินของบ้านเป็นประจำ หากเหลือจากส่วนของเงินใช้จ่ายห้าสิบบาทก็เก็บออมไว้เองได้
ปู่ในวันวานนั้นให้เงินผมมากโข หักค่าโน่นนี่ที่ใช้จ่ายในการซื้ออาหาร ซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน รวมไปถึงค่าโดยสารในเวลาเฉพาะกิจ ก็ยังพอเหลือให้ซื้อหนังสืออ่านได้ในราคาที่พอจับต้อง
แต่ทว่าในตอนนั้นผมพลันบังเกิดความโลภ ที่ไม่คิดว่าตนเองโลภ
คิดในใจว่าเอาเงินสำรอง 30 บาทเก็บไว้กับตัวเสียเลยก็คงไม่เป็นไร ปู่ก็ไม่ได้ว่า คิดว่ามีอันจำเป็นต้องใช้
นานเข้าผมขอเงินสำรองเพิ่ม ปู่ผู้เป็นคนหยิบเงินให้ในทุกๆ วันก็พลันตำหนิว่า “เอาไปทำไมเยอะ”
ใจของผมหล่นวูบ นึกน้อยใจขึ้นมาอย่างรุนแรงจนเกือบร้องไห้ ทั้งที่ปู่ก็ให้เงินสำรองเพิ่ม ผมก็ยังงอนจนต้องเอาไปคืน คราวนั้นปู่เงียบไปนาน สมัยนั้นผมได้แต่เคืองปู่ แต่พอผ่านเวลานั้นมายี่สิบกว่าปีกลับเจ็บปวดในใจพิลึก
ในตัวจังหวัดของยุคนั้นมีร้านหนังสือให้เลือกอ่านกันหลายร้าน ตัวผมเองที่ไม่ได้อยู่ในตัวจังหวัด ถ้าจะไปหาซื้อหนังสือก็ต้องติดรถมอเตอร์ไซค์เพื่อนที่จะไปซื้อหนังสือด้วย ผ่านถนนสายหลักผ่านขุนเขา เป็นระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเมตรจึงจะไปถึง
พอปู่รู้ว่าจะไป ก็หยิบเงินธนบัตรสีแดงจำนวนสองสามร้อยออกมาเตรียมให้ ผมละอายเกินกว่าที่จะเอาเงินนั้นมาแล้ว จึงปฏิเสธไป กลับเป็นความสบายใจเสียอีก เงินที่พอเก็บก็พอกพูนขึ้นมาบ้าง มีห้าร้อยได้ทั้งหนังสือได้ทั้งกินข้าว แถมออกค่าน้ำมันให้เพื่อนก็ยังมีเหลือ
มันกลายเป็นบทเรียนเล็กๆ ที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในกาลต่อมา
เมื่อยามที่ปู่เสีย แล้วลูกๆ ของท่านต่างกีดกันผมทั้งๆ ที่แต่ละคนก็มีทรัพย์สินครอบครองตั้งหลายอย่าง ปู่ไม่ได้สัญชาติไทย จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะครอบครอง ท่านให้ย่าจัดการหมด
ตัวท่านเองบ้างครั้งก็มักจะพูดคล้ายรำพันว่าตัวท่านเองไม่ได้ครอบครองอะไรสักอย่าง
ไม่ใช่คำประชด และพอๆ กับสิ่งที่เราเห็น ทุกอย่างที่มีทั้งหมดปู่เป็นคนหามาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะบ้านหรือที่ดิน
แต่ผมกลับได้ยินคำๆ หนึ่งจากลูกชายของปู่ เขามักจะพูดว่านั่น...ที่ก็เป็นของเขา มันค้านกับสิ่งที่ปู่พูดออกมาราวฟ้ากับเหว
ไม่ว่าใครที่จะได้ครอบครองสิ่งใด ตามหลักก็มักจะต้องดูแลรักษาสิ่งนั้น
บางครั้งลูกชายอีกคนของปู่ก็พูดได้แค่เพียงว่า “มีไว้ ยังไงก็ขายได้”
ผมไม่เคยสนใจเรื่องราวพวกนั้น จนค่อยๆ รู้มาทีละนิด
ดังนั้นการที่ใครสักคนได้ทรัพย์สมบัติของย่าไปทั้งหมดเพราะย่ารัก หรือได้ทรัพย์สมบัติเพียงเพราะคำว่าเป็นบุตรของปู่และย่า จะเป็นโชคดีที่แท้จริงหรือไม่นั้น ก็ยังคงอยู่ที่ตัวของผู้รับด้วย
คนที่ไม่ได้รับ บางครั้งอาจโดนกีดกันด้วยข้อเท็จจริง เล่ห์เหลี่ยม และกฎหมาย เพื่อไม่ให้ได้รับสิ่งนั้น อาจโดนดูถูกว่าโง่ หรือเป็นคนประพฤติชั่วจนไม่ได้รับมรดกดั่งสิ่งที่คนเจ้าวางแผนสักคนได้กล่าวไว้ มันจะเป็นเพราะบาปเคราะห์กระนั้นหรือ
ถ้าปู่อยู่ ปู่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จะคิดเช่นไร
บางทีปู่ไม่เห็น ในสิ่งที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต ก็ดีแล้ว
เพราะจะอย่างไรคนรุ่นต่อๆ ไปก็มีชะตาเป็นของตัวเอง ผลพวงอันมาจากทรรศนะและพื้นฐานของจิตใจที่ออกดอกออกผล เมื่อถึงกระนั้นแล้วต่อให้ไม่ยอมรับผลที่ตามมา ก็ย่อมต้องได้รับผลที่ยังคงตามมาเสมอ
ไม่ว่าเรื่องราวในชีวิตของผมที่เจอทั้งความยุติธรรมและไม่ยุติธรรมในภายหลัง ผมก็ยังเข้าใจหลักการของธรรมชาติที่ขึ้นลงอยู่เสมอ ไม่มีใครทุกข์ตลอดไป ไม่มีใครสุขตลอดไป ไม่มีใครได้รับตลอดไป ไม่มีใครที่ต้องสูญเสียตลอดไป
ขึ้น ลง เช่นนี้
จักรวาลกว้างใหญ่คล้ายแคบเข้า โลกที่ดูกว้างยังกว้างออกไปอีกได้ มีอะไรต่างๆ นานามากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ที่ค่อยๆ บ่งบอกว่าวันวานเหล่านั้นผมช่างโง่เขลาสิ้นดี แต่กระนั้นแล้วปู่ก็ยังคงสอนด้วยหลักการปฏิบัติให้เห็นอยู่เสมอ การพูดบ่อยครั้งก็อาจทำให้คนเขลาอย่างผมที่ไม่รู้อะไรอยู่แล้ว เข้าใจผิดสุดโต่งก็เป็นได้
นวนิยายรักของผมที่ซื้อมา พลันเปลี่ยนมือ ให้ไปยังสาวอันผมเคยหมายปอง
สาวที่ผมเคยหมายปอง ผันผ่านไปกับกาลเวลาและเส้นทางของเธอเอง ผ่าน...ไป
มีแต่เรื่องราวเก่าก่อนนั้นที่ยังพอเป้นของผมยามที่ยังมีความทรงจำของการเป็นมนุษย์
สุดท้ายแล้วผู้ครอบครองบางสิ่งก็เจ็บปวดเพราะบางสิ่ง ผู้ไม่ได้ครอบครองกลับมีบางสิ่งที่สบายใจด้วยบางสิ่ง
ล้วนแต่การยึดติดทั้งนั้นที่ทำให้ปวดใจและหลอกตัวเองดั่งคนโง่
ใครเล่าอยากได้ความสุจริตจากบรรพบุรุษ ใครเล่าอยากได้ความเพียรจากบรรพบุรุษ
มันไม่ใช่ดอกผลดั่งทรัพย์สินของกองมรดก ที่ใครสักคนหนึ่งตาย ใครคนหนึ่งได้
แต่ความสุจริตนั้นทำได้ยามที่คนที่เรารัก ได้มองเห็น ความเพียรก็ยังทำให้ท่านเห็นได้ยามที่ท่านยังอยู่
แม้ผมไม่ได้มีข้อดีอันใดให้ปู่ได้ภาคภูมิใจเลย แต่วันนั้นผมก็พอรู้ละอาย ที่จะไม่ให้ความโลภมันครอบงำผมอีก
ผมรู้ว่าวันนั้นท่านเห็น และวันนี้...ผมว่าท่านก็ยังรับรู้ และยังเห็น ยิ่งกว่าเห็น...
ผมเอาเงินไปซื้อนวนิยายรักอีกครั้งหนึ่งแล้ว... (เขิน)
ดอกผลงดงามยามอยู่