สเปรด เป็นต้นทุนการเทรดที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดอย่างหนึ่ง แต่เนื่องจากสภาพคล่องของแต่ละโบรกเกอร์แตกต่างกัน ทำให้ขนาดของสเปรด ก็แตกต่างกันไป ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เราต้องพิจารณาเวลาเลือกโบรกเกอร์
ล่าสุดผมเห็นแทบทุกโบรกเกอร์บอก สเปรด EUR/USD 0 Pip คำถามคือ มัน 0 จริงหรือไม่ น่าเชื่อถือแค่ไหน หรือแค่โฆษณา? วันนี้ผมจะอธิบายให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจ
1. สเปรด (Spread) คืออะไร?
-สเปรด คือ ความต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ตัวอย่างเช่น
หากคุณต้องการซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.0898 และในขณะนั้นมีคำสั่งขายที่ราคาเดียวกันคือ 1.0898 ก็จะทำให้เราได้ราคานั้นเลย และไม่มีช่องว่างราคา หรือ
ไม่มีสเปรด (Spread = 0)
แต่ถ้าคำสั่งขายที่ใกล้เคียงกับราคาซื้อในขณะนั้นอยู่ที่ 1.0903 และถ้าคุณต้องการซื้อทันที คุณต้อง “ยอมจ่ายเพิ่ม” อีก 5 จุด หรือก็คือสเปรด 5 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนที่เราต้องจ่ายเพิ่ม
ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อขนาดของสเปรดคือ "สภาพคล่อง (Liquidity)"
โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดี จะสามารถเข้าถึงราคาได้ดีกว่า ทำให้สามารถเสนอราคาที่ใกล้เคียงกันมาก และสเปรดต่ำกว่าโบรกเกอร์อื่นๆ
เพื่อนๆ สามารถ หาโบรกเกอร์ที่ร่วมมือกับสถาบันการเงิน หรือ Liquid Providers ที่มีเชื่อเสียง และต้องมีหลายสถาบัน เพื่อสภาพคล่องที่ดีกว่า
2. สเปรดของ EUR/USD ในบัญชี STP
เมื่อเข้าใจพื้นฐานเรื่องสเปรดแล้ว เรากลับมาที่คำถามแรกว่า "สเปรด EUR/USD 0 Pip เชื่อถือได้หรือไม่?"
ในความเป็นจริง ถ้าโบรกเกอร์มีสภาพคล่องสูงมาก ก็สามารถเสนอ สเปรด 0 จุดได้ในบางช่วงเวลา แต่ต้องพิจารณาร่วมกับ ประเภทบัญชีด้วย เพราะแต่ละประเภทบัญชีมีรูปแบบการคิดค่าธรรมเนียมและสเปรดที่ต่างกัน ซึ่งนี้ถือเป็นมาตรฐานที่ทุกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาต เขาทำกัน
ซึ่งบัญชีหลักๆ มี 2 แบบ ได้แก่:
-STP (Straight Through Processing) หรือบัญชีประเภทส่งคำสั่งตรงไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง เช่น ธนาคาร หรือ Liquid Providers ต่างๆ บัญชีนี้จะไม่มีค่าคอมมิชชัน แต่จะเก็บค่าสเปรดแทน ซึ่งค่าสเปรดนี้จะใช้เป็นรายได้ของโบรกเกอร์ในการดำเนินการ ดังนั้น ถึงแม้ว่า โบรกเกอร์จะมีสภาพคล่องดี แต่อย่างไรก็ต้องมีค่าสเปรดอยู่บ้าง
-ECN (Electronic Communication Network) สเปรดต่ำหรือเกือบ 0 แต่จะมีการเก็บ ค่าคอมมิชชันแยกต่างหาก
จากข้อมูลล่าสุด:
-สเปรดเฉลี่ยของ EUR/USD ในอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 1.67 จุด
-บัญชี STP ของโบรกเกอร์อย่าง EBC, IC Markets, AvaTrade และ Exness มีสเปรด EUR/USD ต่ำกว่าเฉลี่ยของตลาด
แต่โดยทั่วไปแล้ว...
บัญชี STP ที่มีสเปรดต่ำกว่า 1 จุด สำหรับ EUR/USD
ถือว่าหายากและอาจไม่เสถียรหรือเกิดได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
*ข้อควรระวัง หากเจอโบรกเกอร์ที่บอกว่าบัญชี STP มีสเปรดต่ำ 0 จุดตลอด ควรคำนึงถึงความน่าเชื่อถือให้รอบคอบ อาจมีเงื่อนไขแฝง หรืออาจไม่ได้เป็น STP จริง
ดังนั้น หากมีโบรกเกอร์ใดอ้างว่าเป็นแบบ ส่งคำสั่งตรง 100% (Pure STP) และ ไม่เก็บค่าสเปรดเลย คุณต้องระวังให้ดี เพราะอาจมี "ค่าใช้จ่ายแอบแฝง" เช่น จงใจสร้าง Slippage (ราคาหลุด) ให้คุณเสียเปรียบในการเข้าออกออเดอร์ หรือในกรณีแย่ที่สุดอาจถึงขั้น ไม่อนุญาตให้คุณถอนเงิน
คำแนะนำของผม:
ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาต STP เต็มรูปแบบจาก FCA (Financial Conduct Authority) ของสหราชอาณาจักร เพราะถือว่าเชื่อถือได้มากที่สุดในบรรดาใบอนุญาต
ซึ่งวิธีตรวจสอบใบอนุญาต FCA เพื่อนๆ สามารถดูได้ที่นี่:
https://pantip.com/topic/43091233
3.ค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD ในบัญชี ECN
นอกจากบัญชี STP แล้ว บัญชีอีกประเภทที่พบได้บ่อย คือบัญชี ECN
บัญชี ECN คือการนำคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ทั้งตลาดทั้งหมดรวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อจับคู่คำสั่ง ซึ่งบัญชีประเภทนี้โดยทั่วไปจะมีค่าคอมมิชชั่นบวกกับสเปรด และจะมีจุดสเปรดที่ต่ำกว่าบัญชี STP
สำหรับบัญชี ECN ค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD สามารถเป็น 0 ได้เลย
แต่ขอเน้นว่า ที่ผมพูดถึงคือ “ราคาชั้นแรก”
เพราะราคาชั้นแรก คือราคาต้นฉบับที่แท้จริง ซึ่งค่าสเปรดที่เป็น 0 ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในราคาชั้นนี้เท่านั้น หลายโบรกเกอร์ มักไม่พูดถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริง เนื่องจากสภาพคล่องเป็นทรัพยากรที่หายากมาก โบรกเกอร์ทั่วไปจะมีราคาชั้นแรกประมาณ 10-15 Lot เท่านั้น มีเพียงโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดีมากเท่านั้นที่ได้รับโควตาสูงกว่า เช่น ราคาชั้นแรกของ EURUSD ในโบรกเกอร์ EBC อยู่ที่ประมาณ 40 Lot ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 เท่าหรือมากกว่า นั่นหมายความว่าเวลาคุณเทรดจะมีโอกาสได้รับสเปรด 0 มากขึ้นนั่นเอง
นอกจากราคาชั้นแรกแล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับ “ความลึกของราคา” ด้วย
จากภาพจะเห็นว่า EURUSD ของ EBC มีทั้งหมด 5 ชั้นของราคา ซึ่งเรียกว่าความลึกของราคา (Depth of Market) แสดงถึงปริมาณคำสั่งซื้อขายที่สามารถทำรายการได้ทั้งหมด 5 ชั้นนี้ถือว่าเป็นความลึกของราคาที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในตลาดสามารถให้ได้สูงสุดแล้ว
แม้ว่าราคาชั้นที่ 2 ถึง 5 จะไม่ใช่สเปรด 0 จริง ๆ แต่สเปรดนั้นก็น้อยมาก จนเกือบเป็นศูนย์ (ค่าสเปรด EURUSD ดูสเปรดในทศนิยมตำแหน่งที่ 4-5) และราคาก็เรียงตัวต่อเนื่องกัน จึงถือว่าเป็นราคาที่มีประสิทธิภาพ
แต่บางโบรกเกอร์อาจมีแค่ 1-2 ชั้นของราคา และแต่ละชั้นมีปริมาณคำสั่งไม่มาก ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีการซื้อขายปริมาณมาก สภาพคล่องไม่เพียงพออาจทำให้สเปรดขยายตัวกว้างขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้เราต้องระวังและควรพิจารณาเวลาเลือกโบรกเกอร์ด้วย
สุดท้าย ECN จะใช้รูปแบบ “สเปรด + ค่าคอมมิชชั่น” ดังนั้น นอกจากต้องสนใจสเปรดแล้ว ยังต้องคำนวณค่าคอมมิชชั่นร่วมด้วย เพื่อประเมินต้นทุนการเทรดโดยรวมอย่างถูกต้อง
สำหรับค่าคอมมิชชั่น ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 6-10 ดอลลาร์สหรัฐ เช่น บัญชี ECN ของ EBC มีค่าคอมมิชชั่น 6 ดอลลาร์ต่อ Lot และเนื่องจากสเปรดของ EURUSD ส่วนใหญ่เป็น 0 จึงทำให้ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 6 ดอลลาร์ต่อ Lot
สุดท้ายต้องเข้าใจว่า เฉพาะคู่เงินอย่าง EURUSD หรือไม่กี่สินทรัพย์เท่านั้น ที่สามารถเทรดแบบ ECN ด้วยสเปรดต่ำถึง 0 ได้
เพราะ EURUSD มีปริมาณการเทรดคิดเป็นประมาณ 30% ของตลาด Forex ทั้งหมด ทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะมีสเปรดที่ต่ำมากๆ ขณะที่สินทรัพย์อื่นที่เป็นของเฉพาะกลุ่มหรือมีปริมาณคำสั่งน้อย มักจะมีสเปรดกว้างและมีความเสี่ยงเกิด Slippage สูง
ดังนั้น เวลาพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ ต้องดูทั้งประเภทสินทรัพย์ที่เทรด และสภาพคล่องของโบรกเกอร์นั้นๆ และควรหลีกเลี่ยงการเทรดสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มในช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีสภาพคล่อง เพื่อให้ได้ประสบการณ์การเทรดที่ดีที่สุด
สเปรด EUR/USD ต่ำ 0 Pip น่าเชื่อถือหรือไม่?
ล่าสุดผมเห็นแทบทุกโบรกเกอร์บอก สเปรด EUR/USD 0 Pip คำถามคือ มัน 0 จริงหรือไม่ น่าเชื่อถือแค่ไหน หรือแค่โฆษณา? วันนี้ผมจะอธิบายให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจ
1. สเปรด (Spread) คืออะไร?
-สเปรด คือ ความต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ตัวอย่างเช่น
หากคุณต้องการซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.0898 และในขณะนั้นมีคำสั่งขายที่ราคาเดียวกันคือ 1.0898 ก็จะทำให้เราได้ราคานั้นเลย และไม่มีช่องว่างราคา หรือ ไม่มีสเปรด (Spread = 0)
แต่ถ้าคำสั่งขายที่ใกล้เคียงกับราคาซื้อในขณะนั้นอยู่ที่ 1.0903 และถ้าคุณต้องการซื้อทันที คุณต้อง “ยอมจ่ายเพิ่ม” อีก 5 จุด หรือก็คือสเปรด 5 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนที่เราต้องจ่ายเพิ่ม
ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อขนาดของสเปรดคือ "สภาพคล่อง (Liquidity)"
โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดี จะสามารถเข้าถึงราคาได้ดีกว่า ทำให้สามารถเสนอราคาที่ใกล้เคียงกันมาก และสเปรดต่ำกว่าโบรกเกอร์อื่นๆ
เพื่อนๆ สามารถ หาโบรกเกอร์ที่ร่วมมือกับสถาบันการเงิน หรือ Liquid Providers ที่มีเชื่อเสียง และต้องมีหลายสถาบัน เพื่อสภาพคล่องที่ดีกว่า
2. สเปรดของ EUR/USD ในบัญชี STP
เมื่อเข้าใจพื้นฐานเรื่องสเปรดแล้ว เรากลับมาที่คำถามแรกว่า "สเปรด EUR/USD 0 Pip เชื่อถือได้หรือไม่?"
ในความเป็นจริง ถ้าโบรกเกอร์มีสภาพคล่องสูงมาก ก็สามารถเสนอ สเปรด 0 จุดได้ในบางช่วงเวลา แต่ต้องพิจารณาร่วมกับ ประเภทบัญชีด้วย เพราะแต่ละประเภทบัญชีมีรูปแบบการคิดค่าธรรมเนียมและสเปรดที่ต่างกัน ซึ่งนี้ถือเป็นมาตรฐานที่ทุกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาต เขาทำกัน
ซึ่งบัญชีหลักๆ มี 2 แบบ ได้แก่:
-STP (Straight Through Processing) หรือบัญชีประเภทส่งคำสั่งตรงไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง เช่น ธนาคาร หรือ Liquid Providers ต่างๆ บัญชีนี้จะไม่มีค่าคอมมิชชัน แต่จะเก็บค่าสเปรดแทน ซึ่งค่าสเปรดนี้จะใช้เป็นรายได้ของโบรกเกอร์ในการดำเนินการ ดังนั้น ถึงแม้ว่า โบรกเกอร์จะมีสภาพคล่องดี แต่อย่างไรก็ต้องมีค่าสเปรดอยู่บ้าง
-ECN (Electronic Communication Network) สเปรดต่ำหรือเกือบ 0 แต่จะมีการเก็บ ค่าคอมมิชชันแยกต่างหาก
จากข้อมูลล่าสุด:
-สเปรดเฉลี่ยของ EUR/USD ในอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 1.67 จุด
-บัญชี STP ของโบรกเกอร์อย่าง EBC, IC Markets, AvaTrade และ Exness มีสเปรด EUR/USD ต่ำกว่าเฉลี่ยของตลาด
แต่โดยทั่วไปแล้ว...
บัญชี STP ที่มีสเปรดต่ำกว่า 1 จุด สำหรับ EUR/USD
ถือว่าหายากและอาจไม่เสถียรหรือเกิดได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
*ข้อควรระวัง หากเจอโบรกเกอร์ที่บอกว่าบัญชี STP มีสเปรดต่ำ 0 จุดตลอด ควรคำนึงถึงความน่าเชื่อถือให้รอบคอบ อาจมีเงื่อนไขแฝง หรืออาจไม่ได้เป็น STP จริง
ดังนั้น หากมีโบรกเกอร์ใดอ้างว่าเป็นแบบ ส่งคำสั่งตรง 100% (Pure STP) และ ไม่เก็บค่าสเปรดเลย คุณต้องระวังให้ดี เพราะอาจมี "ค่าใช้จ่ายแอบแฝง" เช่น จงใจสร้าง Slippage (ราคาหลุด) ให้คุณเสียเปรียบในการเข้าออกออเดอร์ หรือในกรณีแย่ที่สุดอาจถึงขั้น ไม่อนุญาตให้คุณถอนเงิน
คำแนะนำของผม:
ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาต STP เต็มรูปแบบจาก FCA (Financial Conduct Authority) ของสหราชอาณาจักร เพราะถือว่าเชื่อถือได้มากที่สุดในบรรดาใบอนุญาต
ซึ่งวิธีตรวจสอบใบอนุญาต FCA เพื่อนๆ สามารถดูได้ที่นี่: https://pantip.com/topic/43091233
3.ค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD ในบัญชี ECN
นอกจากบัญชี STP แล้ว บัญชีอีกประเภทที่พบได้บ่อย คือบัญชี ECN
บัญชี ECN คือการนำคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ทั้งตลาดทั้งหมดรวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อจับคู่คำสั่ง ซึ่งบัญชีประเภทนี้โดยทั่วไปจะมีค่าคอมมิชชั่นบวกกับสเปรด และจะมีจุดสเปรดที่ต่ำกว่าบัญชี STP
สำหรับบัญชี ECN ค่าสเปรดของคู่เงิน EURUSD สามารถเป็น 0 ได้เลย
เพราะราคาชั้นแรก คือราคาต้นฉบับที่แท้จริง ซึ่งค่าสเปรดที่เป็น 0 ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในราคาชั้นนี้เท่านั้น หลายโบรกเกอร์ มักไม่พูดถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริง เนื่องจากสภาพคล่องเป็นทรัพยากรที่หายากมาก โบรกเกอร์ทั่วไปจะมีราคาชั้นแรกประมาณ 10-15 Lot เท่านั้น มีเพียงโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดีมากเท่านั้นที่ได้รับโควตาสูงกว่า เช่น ราคาชั้นแรกของ EURUSD ในโบรกเกอร์ EBC อยู่ที่ประมาณ 40 Lot ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 เท่าหรือมากกว่า นั่นหมายความว่าเวลาคุณเทรดจะมีโอกาสได้รับสเปรด 0 มากขึ้นนั่นเอง
นอกจากราคาชั้นแรกแล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับ “ความลึกของราคา” ด้วย
จากภาพจะเห็นว่า EURUSD ของ EBC มีทั้งหมด 5 ชั้นของราคา ซึ่งเรียกว่าความลึกของราคา (Depth of Market) แสดงถึงปริมาณคำสั่งซื้อขายที่สามารถทำรายการได้ทั้งหมด 5 ชั้นนี้ถือว่าเป็นความลึกของราคาที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในตลาดสามารถให้ได้สูงสุดแล้ว
แม้ว่าราคาชั้นที่ 2 ถึง 5 จะไม่ใช่สเปรด 0 จริง ๆ แต่สเปรดนั้นก็น้อยมาก จนเกือบเป็นศูนย์ (ค่าสเปรด EURUSD ดูสเปรดในทศนิยมตำแหน่งที่ 4-5) และราคาก็เรียงตัวต่อเนื่องกัน จึงถือว่าเป็นราคาที่มีประสิทธิภาพ
แต่บางโบรกเกอร์อาจมีแค่ 1-2 ชั้นของราคา และแต่ละชั้นมีปริมาณคำสั่งไม่มาก ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีการซื้อขายปริมาณมาก สภาพคล่องไม่เพียงพออาจทำให้สเปรดขยายตัวกว้างขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้เราต้องระวังและควรพิจารณาเวลาเลือกโบรกเกอร์ด้วย
สำหรับค่าคอมมิชชั่น ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 6-10 ดอลลาร์สหรัฐ เช่น บัญชี ECN ของ EBC มีค่าคอมมิชชั่น 6 ดอลลาร์ต่อ Lot และเนื่องจากสเปรดของ EURUSD ส่วนใหญ่เป็น 0 จึงทำให้ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 6 ดอลลาร์ต่อ Lot
สุดท้ายต้องเข้าใจว่า เฉพาะคู่เงินอย่าง EURUSD หรือไม่กี่สินทรัพย์เท่านั้น ที่สามารถเทรดแบบ ECN ด้วยสเปรดต่ำถึง 0 ได้
เพราะ EURUSD มีปริมาณการเทรดคิดเป็นประมาณ 30% ของตลาด Forex ทั้งหมด ทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะมีสเปรดที่ต่ำมากๆ ขณะที่สินทรัพย์อื่นที่เป็นของเฉพาะกลุ่มหรือมีปริมาณคำสั่งน้อย มักจะมีสเปรดกว้างและมีความเสี่ยงเกิด Slippage สูง
ดังนั้น เวลาพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ ต้องดูทั้งประเภทสินทรัพย์ที่เทรด และสภาพคล่องของโบรกเกอร์นั้นๆ และควรหลีกเลี่ยงการเทรดสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มในช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีสภาพคล่อง เพื่อให้ได้ประสบการณ์การเทรดที่ดีที่สุด