นิยายแฟนตาซี : ตำนานยอดนักสู้เมียงปล๊ะปะทะสิงโต (ตอน 1)




---- ยอดนักสู้เมียงปล๊ะ ---
 
             ในดินแดนที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าดงดิบอันเขียวขจี  มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมลำธารที่มีน้ำใส  เป็นลำธารสาขามาจากบึใหญ่ระดับทะเลสาบที่แสนอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์น้ำมากมาย งูน้ำมากมี จระเข้ก็มากหลาย...และมักจะเกิดการกระทบกระทั่งกับชาวบ้านที่ทำการประมงอยู่ในพื้นที่นี้อยู่บ่อยครั้ง จนมีคำกล่าวกันว่า คนในพื้นที่แห่งนี้ จะด่าคนที่ลักขโมย หรือ ทำร้ายผู้อื่นว่าเป็น “จระเข้” นั่นเอง  นอกจากในเรื่องของการประมงแล้ว ชาวบ้านบางส่วนก็ประกอบอาชีพทำไร่ไถนาและเลี้ยงสัตว์อีกด้วย ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเรียบง่ายและสงบสุข ณ หมู่บ้านแห่งนี้ มีชายหนุ่มนามว่า “เมียงปล๊ะ” ผู้มีรูปร่างกำยำล่ำสัน มีผิวสีแทน และดวงตาที่ฉายแววแห่งความกล้าหาญ มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก
เมียงปล๊ะ นั้นเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในฐานะนักแสดงศิลปะการต่อสู้ผู้เก่งกาจ เขาชื่นชอบการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก และมักจะออกเดินทางไปโชว์การแสดงการต่อสู้ที่ปราสาทหินหลังใหญ่ ปราสาทหินหลังนี้นั้นเป็นโบราณสถานที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ และเป็นสถานที่จัดการแสดงต่างๆ ของผู้คนในดินแดนแห่งนี้มาอย่างยาวนาน เป็นพื้นที่ๆผู้คนในท้องถิ่นมักเข้ามาทำมาหากินกันตามวิถีธรรมชาติกันอย่างคึกคัก
ในทุกๆวัน เมียงปล๊ะ จะเดินทางไปยังปราสาทหิน โดยที่เขาจะสวมใส่ชุดนักรบที่ทำจากหนังสัตว์ตากแห้ง และนำมาเย็บเข้าด้วยกันอย่างเรียบง่าย และถือดาบไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง เมื่อถึงเวลากลางวัน เขาจะเริ่มการแสดง เขาจะกระโดดโลดเต้น เหวี่ยงดาบ และทำท่าทางต่างๆ ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและว่องไวของนักรบ ผู้ชมที่มาดูการแสดงของเขาส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ และชาวบ้านในหมู่บ้าน พวกเขาจะส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้กับเขาอย่างกึกก้อง จากนั้น เมียงปล๊ะ ก็จะวางขันรับบริจาค เอาไว้ที่ตรงนั้น ซึ่งผู้คนที่ชื่นชอบการแสดงของเขาก็จะให้เบี้ยอัฐบ้าง หรือบางคนมีข้าวปลา อาหาร หรือผลไม้ต่างๆก็จะวางเอาไว้ให้แทนเบี้ยอัฐก็มี ซึ่ง เมียงปล๊ะ ก็จะเก็บเอาไว้ตามสมควรแก่ตัวเอง ถ้ามีเหลือ ก็จะแบ่งให้กับคนยากจนในหมู่บ้านของตัวเองอยู่เสมอ นั่นก็ทำให้ เมียงปล๊ะ นั้นเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก

                           “ข้าคิดว่าดินแดนแห่งนี้นั้นก็ยังเป็นดินแดนที่ยังพอจะหากินได้ง่าย ผู้คนนั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเป็นอันมาก เหมาะกับการเป็นวณิพกเลี้ยงชีพยิ่งนัก หรือแม้แต่หากว่าเจ้านั้นเป็นขอทาน ก็ยังพอจะได้ของกินมาพอเลี้ยงตัว...ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าพวกเจ้าขยันก็ยิ่งดีรับรองว่าไม่มีอดตายแน่นอน...”

                  เมียงปล๊ะ มักกล่าวประโยคนี้กับเพื่อนๆของเขา ซึ่งก็อาจจะเป็นการมองโลกในแง่ดีของเขา ก็เป็นได้....เพราะแม้ว่าในบางครั้งเขาและเพื่อนๆ จะมี ช่วงที่เป็นอยู่อย่างยากลำบากบ้าง แต่ก็จะหยิบยกประโยคเหล่านี้มาพูดให้กำลังใจเพื่อนๆอยู่บ่อยๆ และแม้ว่าชีวิตของเขาจะนั้นจะไม่สุขสบายนัก แต่เมียงปล๊ะก็ไม่เคยท้อแท้ เขาเชื่อมั่นว่าความสามารถในการแสดงศิลปะการต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปแสดงศิลปะการต่อสู้ของเขาที่ปราสาทหินโบราณอยู่อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆของเขา แต่แล้วเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการที่มีผู้มาแสดงศิลปะการต่อสู้เพื่อขอรับบริจาคนั้นเริ่มมีมากขึ้นทุกๆวัน  ตามการขยายตัวของเมืองแห่งปราสาทหินแห่งนี้ เมื่อมีคู่แข่งทางการแสดงมากขึ้น แต่ประชากรจริงๆในพื้นที่ยังมีอยู่เท่าเดิม ทำให้หลังๆมานี้เมียงปล๊ะ และ พรรคพวกนั้น ต้องทำงานกันอย่างหนักขึ้นมากเลยทีเดียว เพื่อให้ได้ยอดบริจาคที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของตัวเอง

“มีคนมาแสดงความสามารถด้านต่างๆกันมากขึ้นทุกวัน...เจ้าว่าในอนาคตหลังจากนี้ไปอีกไม่กี่ปี พวกเราจะยิ่งลำบากกันมากยิ่งขึ้นไปหรือเปล่า ?”

              “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่ข้าก็อดจะคล้อยตามความคิดของเจ้าไม่ได้  เพราะแต่ละเจ้าที่มาแสดงก็พยายามเรียกร้องความสนใจจากพวกชาวบ้านอย่างเต็มที่  เจ้าดูนั่นซิ...อย่างตรงเจ้าที่ทำการแสดงอยู่ตรงนั้น  ก็ทำท่าทางในการต่อสู้เหมือนนางอัปสร อัปสรา ยกขาข้างหนึ่ง แล้วเอามือฟาดหัวพวกหน้าม้าด้วย ของแบบนั้นมันใช้สู้จริงๆได้ซะทีไหนกันเล่า...?”


(มีต่อทยอยลงเรื่อยๆจ้า)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่