ชื่อเรื่อง บันทึกชีวิตชาวนายุคโลกร้อน
"ไม่มีใครรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะมาไหม"
เสียงเครื่องยนต์แทรกเตอร์ยันม่าร์คู่ใจดังลั่นแต่เช้า ปลุกนกบนต้นข่อยให้บินว่อน เขานั่งอยู่หลังพวงมาลัยอย่างเคย ทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง เขาจะนึกย้อนถึงตอนยังไม่มีแม้แต่รถไถเดินตาม... ต้องใช้ควายในการไถ จนพ่อของเขาซื้อรถไถเดินตาม จนฤดูกาลเปลี่ยนแทรกเตอร์ก็เริ่มเข้ามา ก็จ้างเขาปรับที่นาให้ใหญ่ขึ้นเพื่อง่ายต่อการไถและใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว
เขาโตมากับนาแคบๆ ที่คันนาเหมือนเขาวงกตสำหรับเด็ก
ตอนนั้นแค่เดินออกหลังบ้าน ก็ได้ปลาช่อน ได้กบ กลับมาทำกับข้าว
วันนี้ที่ตรงนั้นกลายเป็น “ถนนลูกรังขยายใหม่” ไปแล้ว
“ก่อนจะมีแทรกเตอร์ ชีวิตเหมือนต้องรอคนอื่นตัดสินใจให้ตลอด...”
เขาเคยพูดกับตัวเองแบบนั้น ตอนที่เซ็นชื่อซื้อรถคันแรกในชีวิต
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้น
ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้พอจะมีเก็บ
จนวันที่
รถเกี่ยวที่จ้างไว้ “ไม่มา” ทั้งที่ข้าวพร้อมเกี่ยวแล้ว
เขานั่งมองรวงข้าวสุกเต็มทุ่งอย่างหงุดหงิด หายใจลึกแล้วลึกอีก
“ถ้าต้องรอคนอื่นทุกปี ก็เจ๊งทุกปีแน่...”
นั่นคือจุดเริ่มของการซื้อรถเกี่ยวคันแรก รุ่นกระสอบ
ตอนนั้นคนยังขยัน
ตากแดด ยกกระสอบ ไม่ปริปากบ่น
แต่ไม่กี่ปีให้หลัง คนงาน คนจ้างเริ่มบ่น อยากได้แบบ “ถังอุ้ม”
ไม่อยากยก ไม่อยากร้อน อยากประหยัดค่าแรง
รถเก่าซ่อมแพงขึ้นทุกปี
สุดท้ายเขายอมเทิร์นแล้วกัดฟันเอา
Kubota DC93G-Kid มาคันใหม่
รถใหม่มาพร้อมหนี้อีก 8 ปีเต็ม
แต่เขาก็ยังบอกตัวเองว่า “จะเป็นหนี้ก็ขอให้มันคุ้มค่าเหงื่อเรา”
โลกหมุนต่อ… แต่ฝนกลับมาไม่ตรงฤดูอีกต่อไป
บางปีแล้งจนร้าว บางปีท่วมรวงข้าวทั้งที่ยังไม่สุก
อากาศร้อนจนปลาในบ่อเริ่มตายเอง ไม่ต้องมีใครจับ
บางคืนเขานั่งมองฟ้าแล้วคิด
“เมื่อก่อนมีแค่ปัญหาเรื่องคนกับเงิน
เดี๋ยวนี้มีโลกทั้งใบมาเป็นศัตรูด้วย…”
ลูกชายเขาโตขึ้น…ไม่อยากสืบทอดที่นา
อยากไปทำงานในเมือง บอกว่า “เหนื่อยแต่ไม่รวย”
เขาเข้าใจ
เขาไม่เคยห้าม
แต่ก็หวังว่า สักวันลูกจะหันกลับมามอง
แล้วเห็นว่า ที่ดินนี้ ที่เครื่องมือเก่านี้ ที่แปลงนานี้
"คือชีวิตจริงของพ่อ"
ชีวิตที่แม้จะร้อน แม้จะลำบาก แม้จะเป็นหนี้
แต่ก็เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี
“เราเป็นชาวนา ที่พยายามสู้กับโลกร้อน…ด้วยใจที่ยังเย็น”
จบครับ
นิยายสั้นตอนเดียวจบ ชื่อเรื่อง บันทึกชีวิตชาวนายุคโลกร้อน
"ไม่มีใครรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะมาไหม"
เสียงเครื่องยนต์แทรกเตอร์ยันม่าร์คู่ใจดังลั่นแต่เช้า ปลุกนกบนต้นข่อยให้บินว่อน เขานั่งอยู่หลังพวงมาลัยอย่างเคย ทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง เขาจะนึกย้อนถึงตอนยังไม่มีแม้แต่รถไถเดินตาม... ต้องใช้ควายในการไถ จนพ่อของเขาซื้อรถไถเดินตาม จนฤดูกาลเปลี่ยนแทรกเตอร์ก็เริ่มเข้ามา ก็จ้างเขาปรับที่นาให้ใหญ่ขึ้นเพื่อง่ายต่อการไถและใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว
เขาโตมากับนาแคบๆ ที่คันนาเหมือนเขาวงกตสำหรับเด็ก
ตอนนั้นแค่เดินออกหลังบ้าน ก็ได้ปลาช่อน ได้กบ กลับมาทำกับข้าว
วันนี้ที่ตรงนั้นกลายเป็น “ถนนลูกรังขยายใหม่” ไปแล้ว
“ก่อนจะมีแทรกเตอร์ ชีวิตเหมือนต้องรอคนอื่นตัดสินใจให้ตลอด...”
เขาเคยพูดกับตัวเองแบบนั้น ตอนที่เซ็นชื่อซื้อรถคันแรกในชีวิต
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้น
ผลผลิตเพิ่มขึ้น รายได้พอจะมีเก็บ
จนวันที่ รถเกี่ยวที่จ้างไว้ “ไม่มา” ทั้งที่ข้าวพร้อมเกี่ยวแล้ว
เขานั่งมองรวงข้าวสุกเต็มทุ่งอย่างหงุดหงิด หายใจลึกแล้วลึกอีก
“ถ้าต้องรอคนอื่นทุกปี ก็เจ๊งทุกปีแน่...”
นั่นคือจุดเริ่มของการซื้อรถเกี่ยวคันแรก รุ่นกระสอบ
ตอนนั้นคนยังขยัน
ตากแดด ยกกระสอบ ไม่ปริปากบ่น
แต่ไม่กี่ปีให้หลัง คนงาน คนจ้างเริ่มบ่น อยากได้แบบ “ถังอุ้ม”
ไม่อยากยก ไม่อยากร้อน อยากประหยัดค่าแรง
รถเก่าซ่อมแพงขึ้นทุกปี
สุดท้ายเขายอมเทิร์นแล้วกัดฟันเอา Kubota DC93G-Kid มาคันใหม่
รถใหม่มาพร้อมหนี้อีก 8 ปีเต็ม
แต่เขาก็ยังบอกตัวเองว่า “จะเป็นหนี้ก็ขอให้มันคุ้มค่าเหงื่อเรา”
โลกหมุนต่อ… แต่ฝนกลับมาไม่ตรงฤดูอีกต่อไป
บางปีแล้งจนร้าว บางปีท่วมรวงข้าวทั้งที่ยังไม่สุก
อากาศร้อนจนปลาในบ่อเริ่มตายเอง ไม่ต้องมีใครจับ
บางคืนเขานั่งมองฟ้าแล้วคิด
“เมื่อก่อนมีแค่ปัญหาเรื่องคนกับเงิน
เดี๋ยวนี้มีโลกทั้งใบมาเป็นศัตรูด้วย…”
ลูกชายเขาโตขึ้น…ไม่อยากสืบทอดที่นา
อยากไปทำงานในเมือง บอกว่า “เหนื่อยแต่ไม่รวย”
เขาเข้าใจ
เขาไม่เคยห้าม
แต่ก็หวังว่า สักวันลูกจะหันกลับมามอง
แล้วเห็นว่า ที่ดินนี้ ที่เครื่องมือเก่านี้ ที่แปลงนานี้
"คือชีวิตจริงของพ่อ"
ชีวิตที่แม้จะร้อน แม้จะลำบาก แม้จะเป็นหนี้
แต่ก็เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี
“เราเป็นชาวนา ที่พยายามสู้กับโลกร้อน…ด้วยใจที่ยังเย็น”
จบครับ