บทความและลิขสิทธิ์ของ อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์
มีคำถามหนึ่ง ที่ผมได้รับซ้ำๆ และก็ต้องตอบซ้ำๆ เรื่อยไป เพราะเป็นคำถามยอดฮิตตลอดกาล ที่ไม่ว่าคน Generation ไหนก็สงสัย
นั่นคือ ผีสางเทวดาจะช่วยเราได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ อาศัยพลังแห่งความดีที่เขามีอยู่นั่นเอง ที่สามารถนำมาช่วยผัดผ่อน-บรรเทาวิบากกรรม หรือผลของกรรมชั่วของเราได้
ผัดผ่อน-บรรเทา หมายความว่า อาจช่วยยืดเวลาที่วิบากกรรมนั้นจะส่งผลไป หรือบรรเทาผลแห่งวิบากกรรม ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเราได้ส่วนหนึ่งนะครับ แต่จะล้างไปเลยไม่ได้
เหตุใดเขาถึงทำได้? ก็อย่างที่ผมเคยพูดอยู่เสมอๆ ว่า ผีสางเทวดานี่เป็นกลไกการให้ผลอย่างหนึ่ง ของทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่เราสั่งสมไว้ไงครับ
เวลาวิบากฝ่ายชั่วมันจะส่งผล เราไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดีๆ แล้วรอดพ้นจากวิบากฝ่ายชั่วนั้น ก็เท่ากับเราทำไปตามกลไกของวิบากฝ่ายดีซึ่งใช้ "อำนาจ" ผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นในการผัดผ่อน-บรรเทาเคราะห์กรรมให้เรา
แต่ถ้าเราไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ดี พวกคุณไสยมนต์ดำ ภูตผีปีศาจชั่วร้ายทั้งหลาย มันก็จะทำให้เราไปก่อกรรมชั่วเพิ่มขึ้น เท่านั้นแหละครับ
เพราะถึงแม้ว่าเราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างหนึ่ง แต่จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาแน่นอน
นี่ละครับ ผีสางเทวดานั้นมีอำนาจที่จะดลบันดาลอะไรๆ ได้ ไม่ใช่ไม่มีปัญญาทำอะไรเสียเลยทีเดียว (ดังที่พวกแอนตี้เทพชอบอ้างกัน) เพราะท่านก็ยังอยู่ในหลักกรรม การดลบันดาลของท่าน คือกลไกอันหนึ่งของวิบากกรรม
เพราะฉะนั้น ใครไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา หรือไม่เชื่อว่าผีสางเทวดาทำอะไรได้ คนคนนั้นไม่เข้าใจเรื่องกรรมครับ
ทีนี้ผีหรือเทพ ก็ช่วยเราได้ต่างกัน ซึ่งในจุดนี้แหละ จะเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมผมถึงย้ำนักย้ำหนาให้พวกเราบูชาเทพ ไม่ใช่บูชาผี
ตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่าคุณอยากได้เงินสัก ๒ ล้าน คุณไปขอกับเทพ ท่านจะดูว่าคุณมีวาสนาที่สมควรจะได้หรือเปล่า ถ้าชะตากรรมคุณถูกลิขิตไว้ว่าเงินล้านเป็นเรื่องเกินวาสนา ท่านก็จะไม่ให้คุณได้สมหวังหรอกครับ
แต่ท่านจะประทานโอกาส ให้คุณมีช่องทางที่จะได้เงินจำนวนมากๆ ด้วยวิถีทางที่สุจริตแทน เช่น ให้คุณได้ทำงานที่ดีขึ้น แม้จะช้าไปบ้าง แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ต้องแลกด้วยการเสียอะไรไป
แต่ถ้าเป็นผี เขาไม่มองหรอกนะครับ ว่าคุณสมควรได้หรือเปล่า เขามองแค่ว่าถ้าคุณไปขอแล้วเขาให้ได้ อีกทั้งสินบน หรือสิ่งที่คุณจะตอบแทนนั้นถูกใจเขา เขาให้เลยครับ
ทีนี้ถ้าวาสนาคุณไม่ถึงแต่คุณกลับได้สิ่งที่ไม่ควรได้ เคราะห์กรรมอย่างหนักก็จะตามมา
เช่น ได้มาแล้วก็ถูกปล้นถูกยิงตาย หรือไม่ก็วงศาคณาญาติรู้เข้าพากันมารุมทึ้ง จนคุณสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงกับเป็นหนี้ ชดใช้ไม่หมด กลายเป็นทุกขลาภ
เทพกับผีต่างกันตรงนี้ละครับ
เทพเจ้า คืออดีตวิญญาณของมนุษย์ที่สั่งสมบารมีมานาน หลายร้อยจนถึงพันปีขึ้นไป และที่สำคัญ มีคุณธรรมประจำพระองค์ที่ทำให้แตกต่างกับผีอย่างเห็นได้ชัด
คุณธรรมเหล่านั้น คือ พรหมวิหาร ๔ และ หิริโอตตัปปะ หรือความละอายต่อบาป
เป็นคุณธรรมสากลที่
“เทพเจ้าที่แท้จริง” ไม่ว่าลัทธิศาสนาไหนในโลกก็มีเหมือนกันครับ ไม่จำกัดเฉพาะว่าต้องเป็นเทพพุทธ
ดังนั้น เทพเจ้าจึงมุ่งใช้พลังอำนาจที่ทรงมีอยู่ เพื่อความสุขความเจริญของผู้อื่น ในทางที่ถูกต้องสมควรเท่านั้น
ทางที่ถูกต้องสมควร องค์เทพท่านดูจากอะไรครับ? ก็ดูจากวาสนาและอัตภาพของเรา ซึ่งก็คือบุญกรรมที่เราสั่งสมมา จะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกับสิ่งที่เราควรจะได้
เพราะถ้าเราได้ในสิ่งที่เราไม่สมควรได้ หรือสิ่งที่เรียกว่า เกินกรรม เกินวาสนา เราจะต้องสูญเสียอย่างอื่นเป็นการตอบแทน
ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ก็สูญเสียมากครับ
องค์เทพในฐานะผู้ให้ ก็จะต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย เพราะเท่ากับเป็นผู้เกื้อหนุนให้เรากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ออกนอกหลักกรรม
เมื่อเราอธิษฐานขอสิ่งใดกับเทพ พระองค์จึงตอบสนอง และให้เฉพาะในสิ่งที่ควรให้
ไม่ใช่ให้เพียงเพราะเมตตาที่เราไปขอความช่วยเหลือ หรือเพราะเห็นแก่อามิสที่เราสัญญาว่าจะตอบแทน
เพราะโดยทิพยภาวะของพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็น และไม่ต้องการอามิสใดๆ หรอกครับ
สิ่งที่เราอธิษฐานขอจากพระองค์ ถ้าเราไม่สมควรได้ พระองค์ก็จะไม่ประทานให้ตามคำขอของเรา ป่วยการที่จะเอาอะไรไปแลก
การวินิจฉัยขององค์เทพนี่ละครับ คือ กลไกในการให้ผลของบุญ หรือกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ที่เราสั่งสมมา
ต่างกับผีตรงนี้ละครับ
ผีไม่มีพรหมวิหาร ๔ หรือถ้ามี ก็มีไม่ครบ ขาดๆ เกินๆ ตามอารมณ์
ส่วนความละอายต่อบาปนั้น มีเฉพาะผีชั้นสูง ที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นเทพเจ้า
ผีจึงพอใจกับการบนบาน และการถวายสิ่งของตอบแทนต่างๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็เอาไปใช้ไม่ได้
เป็นได้แค่เครื่องผูกรัด ที่ยิ่งนานวัน ยิ่งพันธนาการไม่ให้ไปผุดไปเกิด ต้องคอยอาศัยแต่การกราบไหว้บูชาของผู้คนเพื่อพยุงฐานะของตนไว้
และผีจึงสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ปุถุชนได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องเลวอะไร ถ้าผีนั้นมีฤทธิ์มาก และถูกใจกับสินบน ผีก็ให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเหมาะสมกับวาสนาหรือบุญกรรมที่เราสั่งสมมาหรือไม่
ผีจึงเป็นกลไกอีกส่วนหนึ่งของการให้ผลทั้งบุญและบาป หรือกุศลกรรม และอกุศลกรรม โดยไม่มีการคัดกรองให้เราเหมือนเทพ
แล้วในที่สุดก็มักจะพาสาวกทั้งหลายไปสู่อบายมุข หรือความวิบัติในบั้นปลาย
เพราะอกุศลกรรมนี่ มันมักจะเก่งในการพาเราลงนรก มากกว่ากุศลกรรม ที่เก่งในการพาเราขึ้นสวรรค์ครับ
การรู้จักแยกแยะระหว่างผีกับเทพ จึงเป็นหลักการพื้นฐานที่ผู้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ตัดสินชะตากรรมของตนได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งแน่ละครับ จะแยกแยะในส่วนนี้ได้ ก็ต้องเอาหลักการ เอาความรู้ เอาสติปัญญาเป็นตัวนำ ไม่ใช่เอากิเลสตัณหาเป็นตัวนำ
*คัดลอกมาครับ ! (*・∀・)/ สนทนากันได้เน้อ ! (ขอเรื่องเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก หยวนให้กับคนเอาพล็อตไปแต่งนิยายได้ สนทนาสนุก ๆ ก็โอเค)
และขอความกรุณา “ไม่ต้องมาถามเรื่องธรรมะนะครับ ผมไม่ชำนาญ โปรดผ่านไปครับ”
ผีสางเทวดา ช่วยอะไรเราได้ ?
มีคำถามหนึ่ง ที่ผมได้รับซ้ำๆ และก็ต้องตอบซ้ำๆ เรื่อยไป เพราะเป็นคำถามยอดฮิตตลอดกาล ที่ไม่ว่าคน Generation ไหนก็สงสัย
นั่นคือ ผีสางเทวดาจะช่วยเราได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ อาศัยพลังแห่งความดีที่เขามีอยู่นั่นเอง ที่สามารถนำมาช่วยผัดผ่อน-บรรเทาวิบากกรรม หรือผลของกรรมชั่วของเราได้
ผัดผ่อน-บรรเทา หมายความว่า อาจช่วยยืดเวลาที่วิบากกรรมนั้นจะส่งผลไป หรือบรรเทาผลแห่งวิบากกรรม ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเราได้ส่วนหนึ่งนะครับ แต่จะล้างไปเลยไม่ได้
เหตุใดเขาถึงทำได้? ก็อย่างที่ผมเคยพูดอยู่เสมอๆ ว่า ผีสางเทวดานี่เป็นกลไกการให้ผลอย่างหนึ่ง ของทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่เราสั่งสมไว้ไงครับ
เวลาวิบากฝ่ายชั่วมันจะส่งผล เราไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดีๆ แล้วรอดพ้นจากวิบากฝ่ายชั่วนั้น ก็เท่ากับเราทำไปตามกลไกของวิบากฝ่ายดีซึ่งใช้ "อำนาจ" ผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นในการผัดผ่อน-บรรเทาเคราะห์กรรมให้เรา
แต่ถ้าเราไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ดี พวกคุณไสยมนต์ดำ ภูตผีปีศาจชั่วร้ายทั้งหลาย มันก็จะทำให้เราไปก่อกรรมชั่วเพิ่มขึ้น เท่านั้นแหละครับ
เพราะถึงแม้ว่าเราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างหนึ่ง แต่จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาแน่นอน
นี่ละครับ ผีสางเทวดานั้นมีอำนาจที่จะดลบันดาลอะไรๆ ได้ ไม่ใช่ไม่มีปัญญาทำอะไรเสียเลยทีเดียว (ดังที่พวกแอนตี้เทพชอบอ้างกัน) เพราะท่านก็ยังอยู่ในหลักกรรม การดลบันดาลของท่าน คือกลไกอันหนึ่งของวิบากกรรม
เพราะฉะนั้น ใครไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา หรือไม่เชื่อว่าผีสางเทวดาทำอะไรได้ คนคนนั้นไม่เข้าใจเรื่องกรรมครับ
ทีนี้ผีหรือเทพ ก็ช่วยเราได้ต่างกัน ซึ่งในจุดนี้แหละ จะเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมผมถึงย้ำนักย้ำหนาให้พวกเราบูชาเทพ ไม่ใช่บูชาผี
ตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่าคุณอยากได้เงินสัก ๒ ล้าน คุณไปขอกับเทพ ท่านจะดูว่าคุณมีวาสนาที่สมควรจะได้หรือเปล่า ถ้าชะตากรรมคุณถูกลิขิตไว้ว่าเงินล้านเป็นเรื่องเกินวาสนา ท่านก็จะไม่ให้คุณได้สมหวังหรอกครับ
แต่ท่านจะประทานโอกาส ให้คุณมีช่องทางที่จะได้เงินจำนวนมากๆ ด้วยวิถีทางที่สุจริตแทน เช่น ให้คุณได้ทำงานที่ดีขึ้น แม้จะช้าไปบ้าง แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ต้องแลกด้วยการเสียอะไรไป
แต่ถ้าเป็นผี เขาไม่มองหรอกนะครับ ว่าคุณสมควรได้หรือเปล่า เขามองแค่ว่าถ้าคุณไปขอแล้วเขาให้ได้ อีกทั้งสินบน หรือสิ่งที่คุณจะตอบแทนนั้นถูกใจเขา เขาให้เลยครับ
ทีนี้ถ้าวาสนาคุณไม่ถึงแต่คุณกลับได้สิ่งที่ไม่ควรได้ เคราะห์กรรมอย่างหนักก็จะตามมา
เช่น ได้มาแล้วก็ถูกปล้นถูกยิงตาย หรือไม่ก็วงศาคณาญาติรู้เข้าพากันมารุมทึ้ง จนคุณสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงกับเป็นหนี้ ชดใช้ไม่หมด กลายเป็นทุกขลาภ
เทพกับผีต่างกันตรงนี้ละครับ
เทพเจ้า คืออดีตวิญญาณของมนุษย์ที่สั่งสมบารมีมานาน หลายร้อยจนถึงพันปีขึ้นไป และที่สำคัญ มีคุณธรรมประจำพระองค์ที่ทำให้แตกต่างกับผีอย่างเห็นได้ชัด
คุณธรรมเหล่านั้น คือ พรหมวิหาร ๔ และ หิริโอตตัปปะ หรือความละอายต่อบาป
เป็นคุณธรรมสากลที่ “เทพเจ้าที่แท้จริง” ไม่ว่าลัทธิศาสนาไหนในโลกก็มีเหมือนกันครับ ไม่จำกัดเฉพาะว่าต้องเป็นเทพพุทธ
ดังนั้น เทพเจ้าจึงมุ่งใช้พลังอำนาจที่ทรงมีอยู่ เพื่อความสุขความเจริญของผู้อื่น ในทางที่ถูกต้องสมควรเท่านั้น
ทางที่ถูกต้องสมควร องค์เทพท่านดูจากอะไรครับ? ก็ดูจากวาสนาและอัตภาพของเรา ซึ่งก็คือบุญกรรมที่เราสั่งสมมา จะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกับสิ่งที่เราควรจะได้
เพราะถ้าเราได้ในสิ่งที่เราไม่สมควรได้ หรือสิ่งที่เรียกว่า เกินกรรม เกินวาสนา เราจะต้องสูญเสียอย่างอื่นเป็นการตอบแทน
ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ก็สูญเสียมากครับ
องค์เทพในฐานะผู้ให้ ก็จะต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย เพราะเท่ากับเป็นผู้เกื้อหนุนให้เรากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ออกนอกหลักกรรม
เมื่อเราอธิษฐานขอสิ่งใดกับเทพ พระองค์จึงตอบสนอง และให้เฉพาะในสิ่งที่ควรให้
ไม่ใช่ให้เพียงเพราะเมตตาที่เราไปขอความช่วยเหลือ หรือเพราะเห็นแก่อามิสที่เราสัญญาว่าจะตอบแทน
เพราะโดยทิพยภาวะของพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็น และไม่ต้องการอามิสใดๆ หรอกครับ
สิ่งที่เราอธิษฐานขอจากพระองค์ ถ้าเราไม่สมควรได้ พระองค์ก็จะไม่ประทานให้ตามคำขอของเรา ป่วยการที่จะเอาอะไรไปแลก
การวินิจฉัยขององค์เทพนี่ละครับ คือ กลไกในการให้ผลของบุญ หรือกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ที่เราสั่งสมมา
ต่างกับผีตรงนี้ละครับ
ผีไม่มีพรหมวิหาร ๔ หรือถ้ามี ก็มีไม่ครบ ขาดๆ เกินๆ ตามอารมณ์
ส่วนความละอายต่อบาปนั้น มีเฉพาะผีชั้นสูง ที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นเทพเจ้า
ผีจึงพอใจกับการบนบาน และการถวายสิ่งของตอบแทนต่างๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็เอาไปใช้ไม่ได้
เป็นได้แค่เครื่องผูกรัด ที่ยิ่งนานวัน ยิ่งพันธนาการไม่ให้ไปผุดไปเกิด ต้องคอยอาศัยแต่การกราบไหว้บูชาของผู้คนเพื่อพยุงฐานะของตนไว้
และผีจึงสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ปุถุชนได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องเลวอะไร ถ้าผีนั้นมีฤทธิ์มาก และถูกใจกับสินบน ผีก็ให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะเหมาะสมกับวาสนาหรือบุญกรรมที่เราสั่งสมมาหรือไม่
ผีจึงเป็นกลไกอีกส่วนหนึ่งของการให้ผลทั้งบุญและบาป หรือกุศลกรรม และอกุศลกรรม โดยไม่มีการคัดกรองให้เราเหมือนเทพ
แล้วในที่สุดก็มักจะพาสาวกทั้งหลายไปสู่อบายมุข หรือความวิบัติในบั้นปลาย
เพราะอกุศลกรรมนี่ มันมักจะเก่งในการพาเราลงนรก มากกว่ากุศลกรรม ที่เก่งในการพาเราขึ้นสวรรค์ครับ
การรู้จักแยกแยะระหว่างผีกับเทพ จึงเป็นหลักการพื้นฐานที่ผู้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ตัดสินชะตากรรมของตนได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งแน่ละครับ จะแยกแยะในส่วนนี้ได้ ก็ต้องเอาหลักการ เอาความรู้ เอาสติปัญญาเป็นตัวนำ ไม่ใช่เอากิเลสตัณหาเป็นตัวนำ
*คัดลอกมาครับ ! (*・∀・)/ สนทนากันได้เน้อ ! (ขอเรื่องเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก หยวนให้กับคนเอาพล็อตไปแต่งนิยายได้ สนทนาสนุก ๆ ก็โอเค)
และขอความกรุณา “ไม่ต้องมาถามเรื่องธรรมะนะครับ ผมไม่ชำนาญ โปรดผ่านไปครับ”