ทำไมไทยไม่ย้อนเกล็ดเขมร ประกาศทวงคืน มณฑลบูรพา (เสียมราฐ พระตระบอง ศรีโสภณ ปัจจันตีรีเขต)

จากเหตุการณ์เมืองเมื่อเร็วๆนี้ เขมรกัมพูชา ว่าจะยึดดินแดนไทย โดย ​ยกอดีตมาโต้แย้ง แบบหน้าด้านๆ ​ถ้าจะว่ากันตามจริงถ้าไทยจะทวงคืนบ้าง คงไม่ผิด

​  เพราะอดีตเดิมนั้น​ไทยปกครองเขมรทั้งประเทศ มาตั้งแต่อยุธยา หรืออาจจะแข็งเมืองบ้าง อาจจะไม่ชัดเจนนัก  แต่ที่ชัดมากๆคือตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จนถึง ร.5 แม้บางช่วงจะมีที่เวียดนามเข้ามาแสวงผลประโยชน์ร่วมในบางส่วนบ้าง  แต่อำนาจหลักก็ยังเป็นรัฐสยาม เป็นผู้ปกครอง มีอำนาจตั้งสถาบันกษัตริย์เขมร มาโดยตลอด หรือแม้แต่ตั้งขุนนางสยามปกครองเมืองเขมรแทนกษัตริย์ก็มี

​ภายหลังแบ่งอำนาจการปกครอง ยกเมืองพระตระบอง เสียมราฐ ให้พระยาอภัยภูเบศร์(แบน)​ปกครอง ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการสูงสุดเมืองเขมร มาก่อน(2326-2337) ​แต่ไม่ได้ยกให้เป็นเจ้า เมื่อยกเมืองพระตระบอง เสียมราฐ ​ปกครองแล้ว ยังให้ขึ้นกับสยามโดยตรง มิได้ถือเป็นประเทศราช  ​มาตั้งแต่ปี 2337 ในยุคสมัย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่1

ล่วงมาจนถึง รัชการที่3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ส​ยามได้ยกเมือง ​ศรีโสภณ ขึ้นมาอีก 1 แห่ง  ครั้นล่วงปี 2434 ในสมัย รัชการที่5 ยึคสมัยแห่งการสถาปนา รัฐชาติ สยามได้จัดตั้งให้ ​เมืองเสียมราฐ เมืองพระตะบอง เมืองพนมศก และเมืองศรีโสภณ ผนวกรวมเข้าด้วยกันเป็นมณฑล  ตามนโยบายจัดตั้งมณฑลชั้นนอก 6 มณฑล

มีการเปิดที่ทำการไปรษณีย์เมืองพระตะบองเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2432 และได้เปิดโทรเลขติดต่อกับต่างประเทศเมื่อ พ.ศ. 2436


 โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) เป็นข้าหลวงใหญ่ โดยตั้งที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองศรีโสภณ มีเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย อภัยวงศ์) เป็นผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง ซึ่งได้มีการจัดให้มีภายหลัง ได้รับการจัดระเบียบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. 2439

 พ.ศ. 2439 ปฏิรูปหน่วยงานยุติธรรม ​มี 3 ศาล คือ ศาลอำเภอ ศาลเมือง มีกรมการในเมืองเป็นตุลาการตัดสินทั้งความแพ่งและความอาญา อย่างศาลแบบเก่าในหัวเมืองชั้นใน โดยไม่ได้กำหนดว่าศาลใดชำระความได้เพียงใด เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วต้องขอคำตัดสินจากเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ อีกศาลหนึ่งคือ ศาลมณฑล มีหน้าที่ชำระความเกี่ยวกับคนในบังคับต่างประเทศ และรับอุทธรณ์ความที่ส่งมาจากหัวเมืองอื่นในมณฑลบูรพา 


ต่อมาเปลี่ยนชื่อมาจาก "มณฑลตะวันออก" เมื่อ พ.ศ. 2443 ​​เป็น "มณฑลบูรพา" จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 ไทยต้องยอมทำสัญญายกมณฑลบูรพาให้กับฝรั่งเศสเพื่อแลกกับเมืองตราดและเมืองด่านซ้าย รวมถึงเกาะใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูด

สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นหลักฐาณบ่งบอกว่า เมืองเหล่าล้วนเป็นของสยาม หรือไทย ในปัจจุบัน มาก่อนสถาปนารัฐชาติ ซึ่งฝรั่งเศส ได้ยึดไปจากสยาม (ไม่นับสนธิสัญญา 1867 ที่ฝรั่งเศสยึดกัมพูชา ส่วนที่เป็นประเทศราข)

​จากสนธิสัญญา 1904
*สยามยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับสาธารณรัฐฝรั่งเศส
#ฝรั่งเศสยอมคืนจันทบุรี ให้กับสยาม
*****​ฝรั่งเศสไปยึดตราด ปัจจันตคิรีเขตร และด่านซ้าย จากสยามแทน

จากสนธิสัญญา 1907
*สยามยกมณฑลบูรพาให้กับสาธารณรัฐฝรั่งเศส
#ฝรั่งเศสยอมคืน ตราด‎ และ ด่านซ้าย ให้กับสยาม

*****​ฝรั่งเศสผิดสัญญาไม่ยอมคืน ปัจจันตคิรีเขตร์ ให้กับสยาม จนถึงปัจจุบัน****

อ่าวไทยในอดีตอันรุ่งเรือง 
สองเมืองก่อกำเนิดมาร่วมกัน
ฝั่งขวาคือประจวบคีรีขันธ์ 
ซ้ายนั้นคือประจันต์คีรีเขตร์
เกาะกงตัดขาดได้ตราดคืน 
ชีวิตขมขื่นใต้การกดขี่
ทุกข์ทนทรมานยาวนานร้อยปี 
หมดสิ้นศักดิ์ศรีเสรีสิ้นไป
เราเสียสัญชาติตัดขาดแผ่นดิน 
สูญสิ้นหมดสิ้นแผ่นดินแยกย่อย
ถูกพรากจากกันสัมพันธ์ขาดลอย 
เลือดเข้มเต็มร้อยรอคอยกลับคืน
กรรมนี้ใครก่อเราพอจำได้ 
อยู่เขมรเขาก็ด่าว่าเราเป็นไทย
กลับมาไทยเขาก็หาว่าเป็นเขมร 
เป็นคนเหลือเดนหมดแผ่นดินอาศัย

คนไทยใน ​ปัจจัยคีรีเขตร์ คนไทยเหล่านี้ต้องเผชิญกับการกดขี่จากรัฐบาลกัมพูชาอย่างเลวร้าย ถึงขนาดที่สมัยนโรดม สีหนุเป็นกษัตริย์-รัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นเคยห้ามคนเกาะกงพูดภาษาไทย ใช้วัฒนธรรมไทย ​หากฝ่าฝืนจะถูกตำรวจจับ และบางรายโชคร้ายก็จะถูกฆ่า โดยในสมัยนั้นนายพลลอน นอลที่ทำงานใกล้ชิดกับสีหนุขณะนั้นเคยพูดไว้ว่า "คนไทเกาะกง แม้ว่าจะตายไปสักห้าพันคน ก็ไม่ทำให้แผ่นดินเขมรเอียง"

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่