นั่งสมาธิแล้วรู้สึกไม่มีลมหายใจ หูดับไม่ได้ยินเสียงอะไร รุ้สึกถึงลมหายใจที่หายตัดฉับไปใต้จมูกแล้วมีแสงแล่นจากปลายจมูกพุ่งไปหน้าผาก เกิดวูบเห็นแสงขาวสว่างจ้ากลางหน้าผาก เหมือนตัดจากโลกกายนอก ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศ เหมือนมันนิ่งหยุดทุกอย่าง ตอนนั้นสิ่งที่รู้สึกได้คือรู้สึกว่ากายกับจิตแยกกัน กายเหมือนบ้านหลังนึงที่เรามาอาศัย ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา จิตคือสภาวะความนิ่งไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึก 2 อย่างนี้แยกกันชัดเจน แล้ววูบรู้สึกตัวลืมตาหัวใจเต้นแรง หลังกลับจากปฏิบัติธรรม 1 วันกลับไปทำงาน รู้สึกรอบข้างวุ่ยวายไมาสงบ เดินกับเพื่อนรุ่นพี่จะไปฟิตเนส คุยเล่นกันระหว่างทาง เพื่ิอนเป็นคนตลกจะคุยหัวเราะกันเฮฮา แต่ตอนนั้นในใจรู้สึกอึดอัดเหมือนเพื่ิอนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ภายในใจถึงแม้จะพูดเรื่องตลกหัวเราะกันอยู่ก็ตาม เลยถามไปว่าพี่หงุดหงิดอะไรหรือเปล่าคะ พอถามไปนั้นและเค้าก็บ่นมายาวเลยว่ามีปัญหากับคนนี้ทะเลาะกันหงุดหงิดอยู่ บลาๆๆ และรับรู้ความรู้สึกคนนี้คนเดียวครั้งเดียว หลังกลับจากออกกำลังกายวันรุ่งขึ้นมาทำงานก็ปกติ และไม่เคยปฏิบัติธรรมเข้าสมาธิได้ถึงจุดนี้อีกเลยมาเป็น10 ปีแล้วค่ะ ปฏิบัติก็แค่นั่งสมาธิ รู้สึกสงบ แต่ยังรู้สึกถึงลมถึงความคิด ไม่เคยรู้สึกว่าลมหายไปความคิดหายไป เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจมาเป็น 10 ปี ไม่กล้าตั้งคำความกลัวคนว่าเพ้อเจ้อ จึงวอนผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจและแนะนำแนวทางปฏิบัติหน่ิอยค่ะ จากเหตุการนั้นก็ปฏิบัติธรรมทุกปีเรื่อย ไม่เคยหยุด แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งที่ไม่เคยถึงสภาวะนั้นเหมือนยิ่งปฏิบัติก็อยู่ที่เดิมไม่พัฒนา
Edit : เพิ่มเติมค่ะ ตอนแรกโพสต์ อาจจะสับสน กังวล ตื่นเต้นค่ะ
อาการในตอนนั้นที่จำได้คือ
1.นั่งสมาธิ ภานาพุทโธ
2.พุทโธหายไป
3.ปวดร่างกายเหมือนจะตาย ความคิดมี 2 ทางให้เลือก
- อยากลืมตามาก อยากขยับ ขยับเลยสิจะได้หายปวด
- นั่งต่อไป ปวดก็ทน ปวดมากในชีวิตไม่เคยเจ็บทรมานอย่างนี้มาก่อน แต่เลือกที่จะไปต่อ ในใจคิดว่าถ้าจะตายเพราะการนั่งสมาธิก็ให้มันรู้ไป
4.รู้สึกถึงลมหายใจที่หายไปจากใต้จมูก
5.หูดับ(ตอนนั้นทราบเลยว่าเงียบแบบที่นั่งสม่ธิแล้วคนไม่คุยกันมันก็ยังรู้สึกถึงเสียงลม แต่นี่เงียบแบบเสียงลมก็ไม่มี เหมือนเราไม่รับประสทาสัมผัสทางเสียง) อาดารหูดับกับลมหายใจหายมาพร้อมกัน
6. รู้สึกถึงแสงสีขาวเหมือนมันสว่างจ้า จากปลายจมูกวิ่งไปทางหน้าผาก
7. เห็นแสงสีขาวจ้า กลม สว่าง ความรู้สึกตอนนั่นคิดว่านี่คือจิต
8.รับรู้ในจิตว่ากายกับจิตแยกกัน เหมือนเราถอยออกมาเป็นผู้ดูและเห็นสองสิ่งนี้ กายนี้ไม่ใช่ของเรา กายเหมือนบ้านที่เรามาอาศัย อารมณ์ ความรู้สึก เกิดจากการอาศัยอยู่ในกายนี้
ส่วนจิตที่เห็น นิ่งๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ไม่มีสัญญอะไรเลย อยู่เฉยๆ ของมัน เปรียบให้เห็นภาพเหมือนก้อนกลมๆ ที่ไม่มีข้อมูล ไม่มีเมมโมรี่ ไม่มีอะเลย
9. ตกใจ และหลุดออกจากสภาวะนั้น เพิ่มเติมค่ะ หลังออกจากสภาวะนั้นแล้ว ลืมตา ลุกขึ้นไม่มีอาการปวดชา ร่างกายเลย แต่ก่อนนั่งสมาธิก่อนจะลุกอาจมีปวดขา ชาบ้าง นี่ไม่มีเลย รู้สึกกายเบากว่าเดิมด้วยซ้ำค่ะ
10. เหตุการณ์ที่รู้สึกว่าคนอื่นกำลังหงุด หงิดอยู่ ถึงแม้เขากำลังเล่าเรื่องตลก แต่ความรู้สึกในใจจริงๆ ของเข้ากำลังยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้รู้เหมือนหมอดูบางศาสตร์ที่บอกว่าเห็นภาพหรือบอกเรื่องที่เขากังวลได้ แค่รับรู้ว่าเขาหงุดหงิด เหมือนใจเรารับความหงุดเขาได้
และสภาวะดังกล่าวหายไปภายใน 1 วัน
ป.ล. ไม่ได้เป็นคนยึดติดว่าอยากได้อย่างนั้นอีกหรืออะไรนะคะ แค่รู้สึกเหมือนคนที่เรียนแล้วไม่พัฒนา ย่ำอยู่ที่เดิม พยายามหาข้อมูลฟังเทศสอนสมาธิต่างๆ เลยสงสัยว่าตอนนี้ตัวเองติดอยู่ในสมถะหรือเปล่าค่ะ อยากไปวิปัสสนาต่อแต่เหมือนหาทางไม่เจอ ไปต่อไม่ถูกค่ะ
ไม่ได้อยากเป็นผู้วิเศษ ไม่ได้อยากรู้เรื่องโลกหรือจักรวาล แค่อยากปฏิบัติพัฒนาตนไปสู่ทางหลุดพ้น ไม่อยากเกิดอีก รู้สึกการเกิดเป็นทุกข์ แม้แต่ความสุขก็ยังซ่อนความทุกข์ไว้ข้างใน ยินดีรับทุกคำชี้แนะ สั่งสอนค่ะ
วอนผู้รู้ตอบคำถามสภาวะธรรม ที่ติดอยู่ในใจมาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ🙏🪷
Edit : เพิ่มเติมค่ะ ตอนแรกโพสต์ อาจจะสับสน กังวล ตื่นเต้นค่ะ
อาการในตอนนั้นที่จำได้คือ
1.นั่งสมาธิ ภานาพุทโธ
2.พุทโธหายไป
3.ปวดร่างกายเหมือนจะตาย ความคิดมี 2 ทางให้เลือก
- อยากลืมตามาก อยากขยับ ขยับเลยสิจะได้หายปวด
- นั่งต่อไป ปวดก็ทน ปวดมากในชีวิตไม่เคยเจ็บทรมานอย่างนี้มาก่อน แต่เลือกที่จะไปต่อ ในใจคิดว่าถ้าจะตายเพราะการนั่งสมาธิก็ให้มันรู้ไป
4.รู้สึกถึงลมหายใจที่หายไปจากใต้จมูก
5.หูดับ(ตอนนั้นทราบเลยว่าเงียบแบบที่นั่งสม่ธิแล้วคนไม่คุยกันมันก็ยังรู้สึกถึงเสียงลม แต่นี่เงียบแบบเสียงลมก็ไม่มี เหมือนเราไม่รับประสทาสัมผัสทางเสียง) อาดารหูดับกับลมหายใจหายมาพร้อมกัน
6. รู้สึกถึงแสงสีขาวเหมือนมันสว่างจ้า จากปลายจมูกวิ่งไปทางหน้าผาก
7. เห็นแสงสีขาวจ้า กลม สว่าง ความรู้สึกตอนนั่นคิดว่านี่คือจิต
8.รับรู้ในจิตว่ากายกับจิตแยกกัน เหมือนเราถอยออกมาเป็นผู้ดูและเห็นสองสิ่งนี้ กายนี้ไม่ใช่ของเรา กายเหมือนบ้านที่เรามาอาศัย อารมณ์ ความรู้สึก เกิดจากการอาศัยอยู่ในกายนี้
ส่วนจิตที่เห็น นิ่งๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ไม่มีสัญญอะไรเลย อยู่เฉยๆ ของมัน เปรียบให้เห็นภาพเหมือนก้อนกลมๆ ที่ไม่มีข้อมูล ไม่มีเมมโมรี่ ไม่มีอะเลย
9. ตกใจ และหลุดออกจากสภาวะนั้น เพิ่มเติมค่ะ หลังออกจากสภาวะนั้นแล้ว ลืมตา ลุกขึ้นไม่มีอาการปวดชา ร่างกายเลย แต่ก่อนนั่งสมาธิก่อนจะลุกอาจมีปวดขา ชาบ้าง นี่ไม่มีเลย รู้สึกกายเบากว่าเดิมด้วยซ้ำค่ะ
10. เหตุการณ์ที่รู้สึกว่าคนอื่นกำลังหงุด หงิดอยู่ ถึงแม้เขากำลังเล่าเรื่องตลก แต่ความรู้สึกในใจจริงๆ ของเข้ากำลังยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้รู้เหมือนหมอดูบางศาสตร์ที่บอกว่าเห็นภาพหรือบอกเรื่องที่เขากังวลได้ แค่รับรู้ว่าเขาหงุดหงิด เหมือนใจเรารับความหงุดเขาได้
และสภาวะดังกล่าวหายไปภายใน 1 วัน
ป.ล. ไม่ได้เป็นคนยึดติดว่าอยากได้อย่างนั้นอีกหรืออะไรนะคะ แค่รู้สึกเหมือนคนที่เรียนแล้วไม่พัฒนา ย่ำอยู่ที่เดิม พยายามหาข้อมูลฟังเทศสอนสมาธิต่างๆ เลยสงสัยว่าตอนนี้ตัวเองติดอยู่ในสมถะหรือเปล่าค่ะ อยากไปวิปัสสนาต่อแต่เหมือนหาทางไม่เจอ ไปต่อไม่ถูกค่ะ
ไม่ได้อยากเป็นผู้วิเศษ ไม่ได้อยากรู้เรื่องโลกหรือจักรวาล แค่อยากปฏิบัติพัฒนาตนไปสู่ทางหลุดพ้น ไม่อยากเกิดอีก รู้สึกการเกิดเป็นทุกข์ แม้แต่ความสุขก็ยังซ่อนความทุกข์ไว้ข้างใน ยินดีรับทุกคำชี้แนะ สั่งสอนค่ะ