JJNY : ‘อู่ขอนแก่น’ ระดมส่งยางมือสอง│‘เซีย’ อัดนายกฯ เอาแต่กลบเกลื่อน│ภัณฑิลล่าชื่อยื่นศาลถอดพิเชษฐ์│ปชน.ฉะเกษตรฯ - พณ.

‘อู่ขอนแก่น’ ระดมส่งยางรถยนต์มือสอง ให้ทหารแนวหน้าชายแดนไทย-กัมพูชา.
https://www.dailynews.co.th/news/4785541/
.
.
เจ้าของอู่ซ่อมรถขอนแก่น เร่งรวบรวมยางรถยนต์มือสอง ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมรับมือกับสถานการณ์พิพาทที่กำลังเกิดขึ้น
.
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายธนเสฏฐ์ ญาติเฉลิมรัตน์ อายุ 31 ปี เจ้าของอู่รถ DYNO JET KHONKAEN ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 305 หมู่ 10 ต.บ้านหว้า อ.เมือง จ.ขอนแก่น นำพนักงานประจำร้าน ช่วยกันขนยางรถยนต์มือสอง จากอู่ซ่อมรถหลายแห่งของ จ.ขอนแก่น รวมกว่า 200 เส้น เพื่อเตรียมนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ จ.สุรินทร์ ซึ่งกำลังเตรียมความพร้อมนำไปทำเป็นบังเกอร์ ในเขตชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา จากกรณีพิพาทเขตพื้นที่ที่กำลังเกิดขึ้น โดยมีกำหนดการเดินทางในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ (7 มิ.ย.).
.
นายธนเสฏฐ์ กล่าวว่า ภายหลังจากเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ที่ จ.อุบลราชธานี และหลายจังหวัดตามแนวเขตชายแดน มีการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จึงได้ติดต่อสอบถามไปว่าต้องการเพิ่มอีกหรือไม่ และได้มีการพูดคุยกับทางหัวหน้าชุดที่อยู่ในพื้นที่ จึงได้เร่งทำการรวบรวมยางรถยนต์ แต่ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี มียางรถยนต์เพียงพอแล้ว แต่ที่ จ.ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ ที่ยังขาดอยู่เยอะ จึงพูดคุยกับทีมงานร้านซ่อมรถและขายยางที่รู้จักกัน รวบรวมยางรถยนต์เก่าให้ได้มากที่สุด
.
นอกจากยางรถยนต์แล้ว ยังมีสิ่งจำเป็นอื่นๆ อย่างเช่นข้าวสารอาหารแห้ง และยากันยุง ที่ทางเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ขอเป็นยากันยุงแบบทาและฉีด แต่สถานการณ์ไม่ได้มีการสอบถามแต่อย่างใด ว่าจะมีแนวโน้มมากน้อยขนาดไหนในการเกิดการสู้รบ” นายธนเสฏฐ์ กล่าว
.
นายธนเสฎฐ์ กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ตนเองและทีมงานจะเริ่มขนย้ายยางรถยนต์มือสองทั้งหมด ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ โดยจ้างรถหกล้อในการบรรทุก ซึ่งทางรถหกล้อก็ร่วมด้วยช่วยกันโดยคิดเพียงค่าน้ำมัน นอกจากนี้ตามเส้นทางที่ใช้เดินทาง ยังมีพรรคพวกที่จะร่วมสนับสนุนยางรถยนต์อีกหลายเส้นทั้งในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ อ.หนองสองห้อง และอีกหลายแห่งตลอดเส้นทางไปถึง จ.สุรินทร์ รวมแล้วคาดว่าจะได้ประมาณ 600 เส้น
.
นอกจากนี้ยังได้รับการประสานงานจาก จ.เพชรบุรี และ จ.นครราชสีมา ที่ต้องการนำยางรถยนต์มาสมทบเพิ่มอีก ซึ่งทุกคนล้วนแต่เห็นโพสต์ที่ตนเองโพสต์ลงไป จึงได้เป็นจุดเริ่มต้นในการรวบรวมยางรถยนต์ในครั้งนี้ ซึ่งตนเองคิดว่าจะมีประโยชน์อย่างมากให้กับเจ้าหน้าที่ที่มาจากน้ำใจของตนเองและพรรคพวก” นายธนเสฎฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
.

.
ค่าแรง 400 ล่มอีก! ‘เซีย’ อัดนายกฯ เอาแต่กลบเกลื่อน ทั้งที่เป็นนโยบายหาเสียง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5217498
.
ค่าแรง 400 ล่มอีก รอบที่เท่าไรนับไม่ไหว ‘เซีย’ อัดนายกฯ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ทั้งที่เป็นนโยบายหาเสียง แนะหากยังเหลือความจริงใจ รัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพหาข้อตกลงทุกฝ่าย ขึ้นค่าแรงให้สำเร็จ
.
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ประชุมบอร์ดค่าจ้าง หรือบอร์ดไตรภาคีเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ยังไม่พิจารณาการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรอบใหม่ 400 บาทต่อวัน เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ โดยจะนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย. ว่า
.
หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสัญญาดิบดีว่าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 8 ครั้ง แต่ตอนนี้ล่มเป็นครั้งที่เท่าไรนับไม่ไหวแล้ว ฝั่งนายกรัฐมนตรีก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ กลบเกลื่อนเรื่องค่าแรง 600 บาท ทั้งที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ตอนอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน บอกว่าจะค่อยๆ ปรับขึ้นเป็น 600 บาทต่อวันให้สำเร็จในปี 2570 ตอนนี้ผ่านมา 2 ปีกว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย แค่ 400 บาทยังปรับขึ้นไม่ได้
.
นายเซียกล่าวว่า รัฐบาลควรทำอะไรสักอย่างในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำได้แล้ว จะปล่อยให้เป็นปาหี่เป็นลิเกอีกโรงจากหลายๆ โรงของฝั่งรัฐบาลไปอีกนานแค่ไหน จากรายละเอียดการประชุมเมื่อวานนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดค่าจ้าง ระบุว่าการประชุมที่ล่มนั้นเพราะตัวแทนบอร์ดฝั่งนายจ้างไม่ยอมเข้าร่วมประชุม ตนขอถามว่ารัฐบาลยังมีความจริงใจที่จะผลักดันเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ถ้ามีก็สามารถทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เรียกประชุมและหาข้อตกลงร่วมกัน แล้วปรับขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำได้ตั้งนานแล้ว
.
“เห็นผลงานรัฐบาลแบบนี้ ลืมคำโฆษณาที่ย้ำกับประชาชนไปเลยว่ารัฐบาลเพื่อไทยเชื่อฝีมือบริหารเศรษฐกิจได้ มันเป็นคำที่เลื่อนลอยเสียจริง ทุกวันนี้ข้าวของแพง ค่าแรงแสนถูก ที่บอกค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ เรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น” นายเซียกล่าว.
.

.
ภัณฑิล ล่าชื่อ ส.ส. ยื่นศาลถอด พิเชษฐ์ สัปดาห์หน้า ชี้ เป็นเรื่องทุจริต ไม่ได้ใช้ช่องจริยธรรม
.
ภัณฑิล เผย กำลังล่าชื่อ ส.ส. เตรียมยื่น ศาล รธน. ถอดถอน พิเชษฐ์ สัปดาห์หน้า ปมตั้งงบอบรมสัมมนาโยกลงพื้นที่ตัวเอง ย้ำ ไม่ได้ใช้ช่องจริยธรรม แต่เป็นเรื่องการทุจริตโดยตรง มอง คงไม่เหมาะ หากมีการติดต่อหลังไมค์
.
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.กทม. พรรคประชาชน แถลงกรณียื่นเรื่องถอดถอน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ว่าในช่วงก่อนการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2568 นายพิเชษฐ์มีความตั้งใจจะนำงบประมาณแผ่นดินไปแจกจ่ายให้กลุ่มเป้าหมายหรือฐานเสียงที่สนับสนุนตัวเอง ในรูปแบบการแจกทุนหรือเงินสนับสนุนโครงการ จึงได้มอบหมายให้ที่ปรึกษายกร่างทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 443 ล้านบาท ทำให้ฝ่ายข้าราชการเกิดความหนักใจจึงได้มีการขอความเห็นในสำนักต่างๆในสภา นำมาสู่ข้อสรุปว่าไม่สามารถจัดทำโครงการได้เพราะขัดข้อกฎหมายหลายข้อ นายพิเชษฐ์จึงสั่งการให้คณะทำงานของตัวเองปรับแบบคำของบประมาณใหม่โดยให้เขียนเป็นโครงการสัมมนา 3โครงการ ซึ่งมีความแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่นจำนวนงานสัมมนาที่โครงการตั้งเป้าไว้สูงจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ รวมตามคำขอต้องจัดงานสัมมนาทั้งหมด 2,294 ครั้งในเวลาหนึ่งปี โดยของบประมาณ 350 ล้านบาท แต่ถูกทางคณะรัฐมนตรีตัดงบเหลือ 83 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้นายพิเชษฐ์ มีการขอกดดันให้แปรงบเพิ่มจนได้งบมา 178 ล้านบาท
.
ได้รับการบอกกล่าวจากกรรมาธิการงบ 68 ว่านายพิเชษฐ์ได้เข้าไปในห้องประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญงบด้วยตัวเอง ในขณะที่มีการพิจารณางบที่ตัวเองชงขึ้นมา โดยธรรมเนียมปฏิบัติเป็นสิ่งที่ต้องห้าม” นายภัณฑิลกล่าวว่า
.
นายภัณฑิลกล่าวว่า หลังจากโครงการอนุมัติแล้ว ในพื้นที่จ.เชียงรายมีการจัดทำคำขอที่แสดงความต้องการไปถึงสภาเพื่อให้จัดสัมมนาในพื้นที่จำนวนมากทั้งที่ยังไม่มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เป็นการทั่วไป รวมถึงเอกสารคำขอมีการพิมพ์มาเหมือนกันทุกตัวอักษร เว้นไว้ให้กรอกวันที่ชื่อที่อยู่ที่ต่างกันเท่านั้น ยอดการของบทั้งหมดถึงจะมีการตัดในชั้นกรรมาธิการก็ยังต้องจัดสัมมนามากกว่า 1300 ครั้งต่อปี หรือวันละเกือบ 4 งานอยู่ดี ซึ่งเราทราบกันอยู่ว่าไม่สามารถทำได้ จึงสรุปได้ว่าการของบอบรมทั้ง 3 โครงการเป็นการขอตั้งโครงการที่รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถใช้งบตามวัตถุประสงค์ได้โดยมีความตั้งใจจะโยกงบไปใช้ในโครงการอื่นตั้งแต่แรก มีหลักฐานสำคัญคือเอกสารของสำนักรักษาความปลอดภัยที่ระบุว่า นายพิเชษฐ์มีดำริให้มีกองเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆเลยจะจัดโครงการฝึกอบรมโดยใช้งบ 3.5 แสนบาท จึงโยกงบจากโครงการอื่นที่อยู่ในดุลยพินิจของตัวเองมาใช้ และยังมีอีกหลายโครงการที่นายพิเชษฐ์กระทำในลักษณะดังกล่าว
.
นายภัณฑิล กล่าวว่าในการจัดงบประมาณปี 69 นายพิเชษฐ์ได้มีการของบเพิ่มเป็น 593 ล้านบาท ซึ่งในเนื้อหามีการของบเหมือนเดิมคือจัดกิจกรรมสัมมนาแต่จำนวนมากขึ้น เป้าหมายในการจัดโครงการมากขึ้น ซึ่งการใช้งบประมาณที่ส่อทุจริตเช่นนี้เราต้องรีบยับยั้งก่อนที่เกิดความเสียหายมากกว่านี้ ตนจึงต้องการยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิเชษฐ์ เข้าข่ายการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา144 วรรคสองหรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม ขณะนี้มีการรวบรวมรายชื่อจากสส. และอยู่ในขั้นตอนการเตรียมเอกสาร โดยคาดว่าจะมีการดำเนินการภายในสัปดาห์หน้า
.
นายภัณฑิล กล่าวว่า ส่วนที่จะต้องมีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนนั้น เนื่องจากกังวลว่ากระบวนการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ค่อนข้างใช้เวลา จึงเป็นห่วงว่าทั้งเจ้าหน้าที่สภาเอง และผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายพิเชษฐ์ จะได้รับผลกระทบจากการใช้งบประมาณแบบนี้ จึงต้องรีบจัดการ
.
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกันส่วนตัวหรือไม่ นายภัณฑิล กล่าวว่า นายพิเชษฐ์พยายามจะนัดตนไปเดินดู แต่ยืนยันว่าตนในฐานะส.ส.ที่ใช้สภาอยู่แล้ว ตนรู้จักทุกซอกทุกมุม เดินเองโดยที่ไม่ต้องขอนายพิเชษฐ์ และนายพิเชษฐ์ไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นไกด์ ภายหลังที่ตนอภิปรายในสภา นายพิเชษฐ์ได้เดินมาหาตนที่ห้องอาหาร ซึ่งโชคดีว่า มีเพื่อนสมาชิกหลายคนอยู่ตรงนั้น ทำให้ไม่สามารถคุยอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ ส่วนความพยายามติดต่อหลังไมค์อื่นๆ นั้นตนคงต้องพูดตรงๆ ว่าในเมื่อทางพรรคประชาชนจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เราจะไปคุยอะไรกัน คงไม่เหมาะ ถ้าจะติดต่อหลังไมค์
.
นายภัณฑิล กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของจริยธรรม แต่เป็นเรื่องการทุจริต ซึ่งตนก็อยากทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร เพราะเรื่องสามัญสำนึก ประชาชนได้ตัดสินแล้วว่า การใช้งบประมาณแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ประชาชน เป็นเรื่องการทุจริต เอางบลงพื้นที่ตัวเอง ทั้งที่ฝ่ายนิติบัญญัติเรามีหน้าที่ในการออกกติกา ตรวจสอบงบประมาณ ถ้าเราชงเอง ตบเองก็ไม่ได้
.
นายภัณฑิล กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแต่เป็นการเอาเงินเข้าตัวเอง ต้องการมีงบกลางของตัวเองเอาไว้ใช้ การให้สัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ์ที่ระบุถึงเรื่องศักดิ์ศรี หรือเปรียบเทียบกับส่วนอื่น ว่าสภาได้แค่ 8 พันล้านบาท ก็อยู่ที่หลักการว่าเงินที่ได้มานั้น ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน จะนำไปใช้แบบนี้ไม่ได้
.
เมื่อถามว่าจะมีการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมในส่วนของสภาด้วยหรือไม่ เป็นคนละหัวข้อ ตนขอยังไม่ขยายความต่อตรงนี้ เพราะเป็นเรื่องการตีความ ซึ่งถูกใช้กันมาหลายครั้งในทางการเมือง นี่เป็นเรื่องทุจริตตรงๆ อยู่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่