รายได้-กำไร “3 ยักษ์สเต๊ก” ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในไทย

ชอบกินเจ้าไหนกันบ้าง  


เปิดรายได้-กำไร “3 ยักษ์สเต๊ก” ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในไทย

พบ “Sizzler” รายได้พุ่ง 375%

ด้าน “Eat Am Are” ขึ้นแท่นแบรนด์พันล้าน กำไรโต 264%

ฝั่ง “Santa Fé” ไม่น้อยหน้า กลับมาทำกำไรสำเร็จ สะท้อนตลาดสเต๊กในไทยยังโตได้อีกเรื่อยๆ

ธุรกิจร้านอาหารหลายแห่งผ่านความโหดหินของห้วงเวลาปราบเซียนปีที่แล้วมาได้อย่างสวยงาม แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะโตต่ำ การแข่งขันจะสูงขึ้น คู่แข่งไล่บี้กันแบบหายใจรดต้นคอ ทว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนคู่แข่งในตลาดก็สะท้อนว่า ก้อนเค้กมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ตลาดสุกี้ชาบูเท่านั้นที่หอมหวานจนดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาท้าชิง แต่ตอนนี้ตลาดสเต๊กก็ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน

ปัจจุบันตลาดสเต๊กในไทยมีมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ในอดีตเคยเป็นสมรภูมิของ “บิ๊กเพลย์เยอร์” มีเชนใหญ่ผัดกันรุกรับไม่กี่เจ้า มาวันนี้ตลาดสเต๊กถูกแบ่งแชร์จาก SMEs ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ “บิ๊กเนม” แห่งวงการสเต๊ก จนทำให้เจ้าตลาดต้องเร่งปรับตัวกันยกใหญ่ ทำโปรโมชันด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้น งัดกระบวนท่าออกมาสารพัดสิ่ง เพื่อรักษาสถานะ “Top of mind” ในใจผู้บริโภค

ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา “ซิซซ์เล่อร์” (Sizzler) เริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นสร้างยอดขายผ่านเมนูหลักมากขึ้น จากที่เคยมีเมนูยืนพื้น 80% ก็เพิ่มเป็น 90% ที่เหลือเว้นไว้ให้เมนูสีสันตามฤดูกาล หรือ “Seasonal Menu” นอกจากนี้ ยังสร้างการรับรู้ผ่านการทำแบรนดิ้งให้กับ “ชีสโทสต์” เครื่องเคียงในจานสเต๊กที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยแคมเปญ “ชีสโทสต์เดย์” ทั้งยังพัฒนาออกมาเป็นคาแรกเตอร์ “น้องชีสโทสต์” แตกไลน์ทั้งรูปแบบ Mascot Marketing ทำกล่องสุ่มน้องชีสโทสต์ มีเดือนเกิดของชีสโทสต์โดยเฉพาะ

หากนำรายได้และกำไรสุทธิของ “ซิซซ์เล่อร์” ในปี 2567 เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าจะเห็นการเติบโตชัดเจนมากขึ้น ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปีที่แล้วซิซซ์เล่อร์ทำเงินไป “3,617 ล้านบาท” ปีก่อนหน้ามีรายได้ 760 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิปีที่แล้วทำไปได้ “198 ล้านบาท” ปีก่อนหน้ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10 ล้านบาท

เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ “ซิซซ์เล่อร์” เอาชนะท่ามกลางเกมเดือดครั้งนี้ได้ คือการกลับมาตีโจทย์ใหม่ให้แตก สร้างตลาดด้วยราคาที่เข้าถึงได้ หรือ “Affordable Price” นี่คือแกนหลักของการปรับทัพทำการตลาดเครือไมเนอร์ ฟู้ด ในปีที่ผ่านมา มองว่า โจทย์เรื่องเพิ่มรายได้ไม่ใช่การเพิ่มจากยอดการใช้จ่าย หรือ “Spending Per Head” เชื่อว่า การเพิ่มสัดส่วนจำนวนลูกค้าเข้าร้านจะยั่งยืนกับแบรนด์มากกว่า ซึ่งในปีที่ผ่านจำนวนลูกค้าของซิซซ์เล่อร์เพิ่มขึ้นราว 25% เมมเบอร์ชิปเองก็โตขึ้นจากปีก่อนหน้า 70%

ฝั่ง “Eat Am Are” กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่ 11 พร้อมจำนวนสาขาอีก 18 แห่ง โดยสาขาล่าสุดที่เซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนดิ้งมากขึ้นไปอีก สำหรับเซ็นทรัลเวิลด์ “Eat Am Are” ปักหมุดทำเลโซน Living House ชั้น 7 ด้านในสุด หรือล่าสุดกับสาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะที่มาพร้อมกับโปรเจกต์รีโนเวทห้างโฉมใหม่ที่ขนร้านอาหารดังๆ มาเพียบ ซึ่งมี “Eat Am Are” เป็นหนึ่งในร้านเรือธงที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มทราฟิกให้ห้างมากขึ้น
.
การมาถึงของ “Eat Am Are” ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงคู่แข่งตัวใหญ่ในตลาด โดยเมื่อช่วงต้นปี 2568 เครือไมเนอร์ ฟู้ด คลอดแบรนด์สเต๊กแห่งใหม่ “The Steak & More” สเต๊กราคาย่อมเยาราคาเริ่มต้น 129 บาท ผู้บริหารไมเนอร์ ฟู้ด เคยให้ข้อมูลไว้ว่า แม้จะมี “ซิซซ์เล่อร์” ในพอร์ตอยู่แล้ว แต่จุดยืนของแบรนด์แตกต่างกัน ปัจจุบันซิซซ์เล่อร์กลายเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียมแมส ทำให้มีช่องว่างและโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ไปพร้อมๆ กัน

“The Steak & More” มีเครื่องเคียงหลากหลาย ตั้งแต่สลัด สปาเกตตี้ ไปจนถึงส้มตำ ลาบ และยำวุ้นเส้น มีแม้กระทั่ง “ข้าวเหนียว” ให้เลือกกิน หรือน้ำจิ้มรสจัดจ้านประเภทซีฟู้ดกับแจ่ว ด้วย “อนุพนธ์ นิธิยานันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทย บอกว่า ตอนนี้ตลาดสเต๊กตื่นตาตื่นใจพอๆ กับตลาดสุกี้ชาบูหรือตลาดซอฟต์เสิร์ฟ มีผู้เล่นรายใหม่ทั้งไทยและต่างประเทศที่เข้ามาในลักษณะเดียวกัน คือจับกลุ่ม “Low Entry” หรือ กลุ่ม “Value for Money”


กราฟิก: ณัชชา พ่วงพี


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่