บนเส้นบางๆ ระหว่างความเข้าใจ กับความคิดว่าตนเข้าใจ

บนเส้นบางๆ ระหว่างความเข้าใจ กับความคิดว่าตนเข้าใจ

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูด เสียงคิด และเสียงตัดสิน คนจำนวนไม่น้อยยึดมั่นว่า “สิ่งที่ตนเข้าใจ” คือความจริงสูงสุด
ทว่า...บนเส้นบางๆ ระหว่างความรู้ที่พิสูจน์ได้ กับสิ่งที่รู้สึกได้ ยังมีโลกอีกด้านหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายด้วยตรรกะหรือตำราใด

โลกไม่ได้มีเพียงสิ่งที่วัดได้
วิทยาศาสตร์คือหนึ่งในเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการเข้าใจโลก แต่ก็มิใช่เครื่องมือเดียว และไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้ได้กับทุกมิติของชีวิต
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล เช่น ความฝันที่กลายเป็นจริง ความรู้สึกลึกในใจที่เตือนภัยล่วงหน้า หรือแม้แต่ ‘คนที่เรารัก’ ที่ล่วงลับไปแล้ว มาปรากฏในความฝันของเราในคืนที่หัวใจอ่อนล้า

ประสบการณ์ที่ไม่เคยพบด้วยตัวเอง อาจดูเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาคนภายนอก
ลองจินตนาการว่า มีใครสักคนเล่าให้เราฟังว่า พ่อแม่ของเขาที่จากไป มาเข้าฝันเขา...เขาเชื่อสนิทใจว่านั่นคือ “การมาเยี่ยมจากวิญญาณ”
เขาไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อ แค่แบ่งปันประสบการณ์บางอย่างที่มีความหมายต่อหัวใจเขา
แต่บางคนที่ฟัง กลับรีบตัดสินว่า “งมงาย”, “ไร้สาระ”, “คิดไปเอง” เพียงเพราะมันไม่อยู่ในขอบเขตที่วิทยาศาสตร์ตรวจสอบได้
ทว่า…เมื่อถึงวันที่ พ่อแม่ของคนที่ตัดสินเหล่านั้น เสียชีวิตไป แล้วมาเข้าฝันเขาเอง
เขากลับบอกทุกคนว่า “มันคือเรื่องจริง” พร้อมทั้งชักจูงให้คนอื่นเชื่อตาม
แล้วเหตุใดจึงไม่ย้อนถามตนเองว่า  “หรือสิ่งที่เราเคยปฏิเสธ อาจเป็นความจริงที่เรายังไม่พร้อมเข้าใจ?”

ความเชื่อที่ไม่เคยไตร่ตรอง อาจกลายเป็นกับดักของตัวเอง
หลายความเชื่อของคนเรา ไม่ได้มาจากการ ค้นหา แต่มาจากการ รับฟังแล้วเชื่อต่อกันมา
คนจำนวนไม่น้อยยึดมั่นในความเชื่อที่ได้ยินมา โดยไม่เคยถามว่า “สิ่งนี้คือความจริงที่พิสูจน์ได้หรือเป็นเพียงความเคยชินที่สืบต่อกันมา?”
แต่เมื่อตนเองยึดความเชื่อไว้แน่นหนา กลับไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เชื่อสิ่งอื่นเช่นกัน
พอมีใครสักคนเชื่ออะไรบางอย่างที่แตกต่าง เช่น ปาฏิหาริย์, พลังจิต, หรือการกลับชาติมาเกิด
กลับรีบด่วนสรุปว่า “เขาเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง”
นี่คือรากของความขัดแย้งในสังคม
โดยเฉพาะเมื่อความเชื่อเกี่ยวข้องกับ ศาสนา

ศรัทธาคือเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เครื่องมือพิพากษาผู้อื่น
ศาสนาเป็นเรื่องลึก และบางครั้งก็ไม่สามารถวัดผลได้ด้วยตรรกะหรือตัวเลข
ความศรัทธาคือสิ่งที่ “รู้ได้เฉพาะตน” เช่นเดียวกับความรักหรือความฝัน
ผู้ที่เชื่อในศาสนาใด ก็ย่อมมีสิทธิ์จะเชื่อในสิ่งที่ศาสนานั้นสอน
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ “ด่วนสรุป” ว่า
ผู้ที่เชื่อต่างจากตน “กำลังเชื่อผิด”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่