เราอายุ 50 กว่าแล้ว
เราหยุดวิ่งแล้ว…
แต่ยัง “เดินทุกวัน”...
อย่างคนที่รู้ว่าตัวเองยังมีหน้าที่อยู่
เราไม่ได้ตื่นเช้าเพื่อเช็คอีเมลทันที
แต่เราตื่นมา “เพื่อทำให้วันนี้มีค่า”
ในแบบที่เราเลือกแล้ว
เรายังทำงานนะ
ไม่ได้วางมือจากระบบ
แค่เลือก “ไม่เป็นเครื่องจักร” ของระบบอีกต่อไป
เรารับงานที่พอดีกับลมหายใจ
เราส่งงานตรงเวลา เพราะใจมันอยู่กับงาน
ไม่ใช่เพราะ KPI หรือความกลัวถูกตำหนิ
พร้อมทำตามระเบียบขององค์กรอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
เราเริ่มเข้าใจว่า
ไม่ต้องเก่งที่สุด
แค่ “จริงที่สุด”
ในแบบที่เราทำได้ ก็พอ
ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง
แค่ “ยืนได้นาน” กว่าที่คิด…
ก็อาจแซงคนครึ่งวงการแล้วก็ได้
50+ สำหรับเรา
ไม่ได้หมายถึงปล่อยมือ
แต่หมายถึง “จับให้แน่นเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ”
แล้วคุณล่ะ…
ถึงจุดที่ไม่ต้องเร่งแล้วหรือยัง?
ถ้ายังทำงานอยู่…
คุณยังทำแบบเดิม
หรือเริ่ม “เลือกวิธีที่ใจยังไหว” เหมือนกันบ้างแล้ว?
แชร์ประสบการณ์ล้ำค่า
และแบ่งปันความเห็นร่วมกันนะครับ
ขอบคุณมากครับ
50+ ไม่วิ่งแล้ว...แต่ยังเดินอย่างคนมีภารกิจ
เราหยุดวิ่งแล้ว…
แต่ยัง “เดินทุกวัน”...
อย่างคนที่รู้ว่าตัวเองยังมีหน้าที่อยู่
เราไม่ได้ตื่นเช้าเพื่อเช็คอีเมลทันที
แต่เราตื่นมา “เพื่อทำให้วันนี้มีค่า”
ในแบบที่เราเลือกแล้ว
เรายังทำงานนะ
ไม่ได้วางมือจากระบบ
แค่เลือก “ไม่เป็นเครื่องจักร” ของระบบอีกต่อไป
เรารับงานที่พอดีกับลมหายใจ
เราส่งงานตรงเวลา เพราะใจมันอยู่กับงาน
ไม่ใช่เพราะ KPI หรือความกลัวถูกตำหนิ
พร้อมทำตามระเบียบขององค์กรอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
เราเริ่มเข้าใจว่า
ไม่ต้องเก่งที่สุด
แค่ “จริงที่สุด”
ในแบบที่เราทำได้ ก็พอ
ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง
แค่ “ยืนได้นาน” กว่าที่คิด…
ก็อาจแซงคนครึ่งวงการแล้วก็ได้
50+ สำหรับเรา
ไม่ได้หมายถึงปล่อยมือ
แต่หมายถึง “จับให้แน่นเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ”
แล้วคุณล่ะ…
ถึงจุดที่ไม่ต้องเร่งแล้วหรือยัง?
ถ้ายังทำงานอยู่…
คุณยังทำแบบเดิม
หรือเริ่ม “เลือกวิธีที่ใจยังไหว” เหมือนกันบ้างแล้ว?
แชร์ประสบการณ์ล้ำค่า
และแบ่งปันความเห็นร่วมกันนะครับ
ขอบคุณมากครับ