อัลลอฮ์ทรงบัญญํติไว้ว่า:
لِيَحْمِلُوا أَوْزَارَهُمْ كَامِلَةً يَوْمَ الْقِيَامَةِ ۙ وَمِنْ أَوْزَارِ الَّذِينَ يُضِلُّونَهُمْ بِغَيْرِ عِلْمٍ ۗ أَلَا سَاءَ مَا يَزِرُونَ {25}
[Shakir 16:25] That they may bear their burdens entirely on the day of resurrection and also of the burdens of those whom they lead astray without knowledge; now surely evil is what they bear.
.......................................................
มุสลิมสามารถศึกษาหลักคำสอนของศาสนาพุทธได้ ไม่มีข้อห้ามทางศาสนาใดๆ ต่อการศึกษาเกี่ยวกับระบบความเชื่ออื่นๆ รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย มุสลิมจำนวนมากเข้าร่วมการสนทนาและการศึกษาระหว่างศาสนาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการยอมรับการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองทางปรัชญาและจริยธรรมที่แตกต่างกัน บุคคลอาจศึกษาศาสนาพุทธเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ ความสนใจส่วนตัว หรือเพื่อเพิ่มความเข้าใจทางจิตวิญญาณ ตามมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ มักเปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่นักเรียนทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางศาสนาของตน ในขณะที่ศึกษาศาสนาพุทธ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าหาเรื่องนี้ด้วยความเคารพและใจที่เปิดกว้าง การเข้าใจหลักคำสอนพื้นฐานของศาสนาพุทธ เช่น อริยสัจสี่และมรรคมีองค์แปด สามารถเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ทั่วโลก
การมีส่วนร่วมกับศาสนาพุทธสามารถส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการชื่นชมระหว่างชุมชนต่างๆ มุสลิมจำนวนมากเข้าร่วมในงานวัฒนธรรมหรือการอภิปรายที่มีการปฏิบัติและปรัชญาของศาสนาพุทธ โดยรวมแล้วการศึกษาพระพุทธศาสนาถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าสำหรับชาวมุสลิม เนื่องจากช่วยให้มีความรู้กว้างขวางขึ้น, มีความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาดีขึ้น และทำให้มุสลิมมีอีมานต่ออัลลอฮ์เพิ่มมากขึ้น
พุทธศาสนาที่เราเห็นผู้ปฎิบัติกันอยู่ในสังคมไทยนั้น ไม่ใช่มีแต่ เบญจศีล (ศีล ๕) ที่นักเรียนท่องสวดในชั้นเรียนแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้นในการที่เยาวชนมุสลิมสนทนากับพุทธศาสนิกชนนั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจหลักสำคัญสูงสุดของพุทธศาสนา ว่าพุทธศาสนานั้นมีจุดมุ่งหมายอะไร และมีลักษณะอย่างไร
เบญจศีล เป็นหลักธรรมประจำสังคมที่มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ปรากฏในจักกวัตติสูตร อันกล่าวถึงเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิตรัสสอนประชาชนว่า ท่านทั้งหลายต้องไม่ฆ่าสัตว์, ต้องไม่ถือเอาของที่เขามิได้ให้ , ต้องไม่ประพฤติไม่เหมาะสมทางเพศ , ต้องไม่กล่าวเท็จ, และต้องไม่บริโภคสุรายาเมา ต่อมา เมื่อมีผู้ประพฤติผิดจากที่พระเจ้าจักรพรรดิสอน จึงมีการลงโทษด้วยวิธีจับแขนไพล่หลังแล้วเอาเชือกเหนียวมัดอย่างมั่นคง โกนผม และประโคมบัณเฑาะว์เสียงกร้าว แห่ประจานไปตามถนนและตรอกซอกซอย พาออกไปทางประตูเมืองทิศใต้ ก่อนประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ (
https://th.wikipedia.org/wiki/ )
ความเชื่อหลัก ของพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานำเสนอ "
กรอบปรัชญามากกว่าความจริงแท้แน่นอน"
อริยสัจสี่: ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ: ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ความจริงเหล่านี้กำหนดลักษณะของความทุกข์และหนทางสู่การดับทุกข์
อริยมรรคมีองค์แปด: เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาจริยธรรมและจิตใจที่นำไปสู่การตรัสรู้, เรามักจะได้ยินว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธศาสนาเน้นประสบการณ์และความเข้าใจส่วนบุคคล ส่งเสริมให้บุคคลสำรวจและทำความเข้าใจความจริงของตนเอง
พระพุทธศาสนาไม่ได้อ้างสิทธิ์เฉพาะต่อความจริงแต่ยอมรับมุมมองที่หลากหลาย พระพุทธศาสนามีต้นกำเนิด ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลในอินเดีย และได้พัฒนาเป็นนิกายต่างๆ โดยแต่ละนิกายตีความคำสอนต่างกันนิกายหลักๆ ได้แก่ เถรวาท มหายาน และ
วัชรยาน หรือ ตันตระ โดยแต่ละนิกายมีการปฏิบัติและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในหลายเส้นทางในการทำความเข้าใจการดำรงอยู่และความทุกข์ คำถามที่ว่าพระพุทธศาสนาเป็น "ความจริงแท้" หรือไม่นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลและแตกต่างกันไปตามความเชื่อและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เช่น เรื่อง"นิพพาน"
นิพพาน ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในพระพุทธศาสนา หมายถึงภาวะสูงสุดแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์และวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ความจริงของนิพพานนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์เช่นเดียวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนิพพานเป็นแนวคิดทางจิตวิญญาณและปรัชญาเป็นหลัก
การทำความเข้าใจนิพพาน:
นิพพานหมายถึงการสิ้นสุดของความปรารถนา ความยึดติด และความทุกข์ นิพพานถูกอธิบายว่าเป็นภาวะแห่งความสงบและการตรัสรู้ที่ลึกซึ้ง ประสบการณ์ของนิพพานเป็นเรื่องของอัตวิสัยและส่วนบุคคล ทำให้ยากต่อการตรวจสอบด้วยการวัดเชิงวัตถุ คัมภีร์ทางพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎกบาลี อธิบายเส้นทางสู่การบรรลุนิพพาน โดยเน้นที่การทำสมาธิ จริยธรรม และปัญญา ผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนรายงานประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับแนวคิดของนิพพาน แต่ประสบการณ์เหล่านี้เป็นเพียงการเล่าต่อๆ กันมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: ประเพณีทางพุทธศาสนาที่แตกต่างกันตีความและอธิบายนิพพานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อความเข้าใจและการปฏิบัติต่อนิพพาน
สรุป: แม้ว่านิพพานจะเป็นรากฐานของความเชื่อทางพุทธศาสนา แต่ความจริงของนิพพานยังคงเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลและประสบการณ์มากกว่าการพิสูจน์เชิงประจักษ์ ทั้งนี้เพราะว่า
ธรรมทั้งหลายที่ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งถึง "พระนิพพาน" เป็นที่สุดนั้น เป็น “สันทิฏฐิโก” คือ “ของใครใครเห็น”
ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีนิกายที่สำคัญอยู่สามนิกายคือเถรวาท มหายาน และวัชรยานหรือตันตรยาน ในส่วนของนิกายเถรวาทและมหายาน พุทธศาสนิกชนส่วนมากมักจะรับรู้และมีความเข้าใจกันพอสมควร ประเทศไทยก็ได้จัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยพระพุทธศาสนามาหลายครั้ง แต่อีกนิกายหนึ่งอยู่กึ่งๆระหว่างเถรวาทและมหายาน แต่มีข้อปฏิบัติที่แยกออกไปอีกอย่างหนึ่ง ที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือพระพุทธศาสนานิกายตันตรยานแต่มักชอบเรียกตัวเองว่าวัชรยาน
1. มหายาน มองพระพุทธพจน์ในแง่ปรัชญา วิพากษ์วิจารณ์ความหมายพระพุทธพจน์ไปในแง่ต่าง ๆ ตามความคิดของบุคคลแต่ละบุคคล ปรับปรุงธรรมวินัยไปตามกาลเทศะ เพื่อความเหมาะสมแก่ประชาชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์แก่ พระพุทธศาสนา มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีนแล้วใช้ต้นฉบับนั้นเป็นหลัก มหายานสอนให้ “สละตัวตน” เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยโพธิจิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา ถือว่าการหลุดพ้นของตนเองไม่สำคัญเท่ากับการนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ร่วมกัน
2.
เถรวาท(หินยาน/ทักษิณนิกาย) ยึดมั่นอยู่ในธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามแบบเดิมตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยกพระธรรมวินัยไว้ในฐานะอันสูงส่งและศักดิสิทธิ์ แม้พระไตรปิฎกก็ไม่เปลี่ยนแปลง คงรักษาของเดิมซึ่งเป็นภาษามคธเอาไว้เป็นหลักเป็นธรรมนูญของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใครจะแปลเป็นภาษาอะไรก็แปลไปแต่ไม่ทิ้งของเดิมคงรักษาของเดิมภาษามคธเป็นหลัก
เถรวาทสอนให้ “ละ” ทุกสิ่งเพื่อเข้าถึงความสงบเย็น โดยเน้นการเจริญสติและปัญญาเพื่อเห็นไตรลักษณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้สิ่งเร้าใด ๆ
3.
วัชรยาน (ตันตระ) พุทธศาสนาฝ่ายวัชรยานในเมืองไทย ได้รับการสืบทอดมาจากพระอารามริโวเช ซึ่งเป็นต้นสายของวัชรยาน จากแคว้นคาม ทิเบตตะวันออก โดยมีพระมหาวัชรจารย์ โซนัม ท๊อปเกียว รินโปเชเป็นผู้สืบทอด และมีการฝึกปฏิบัติแนวทางนี้ที่ริโวเชธรรมสถาน และวัดโพธิ์แมนคุณาราม กรุงเทพมหานคร วัชรยานสอนว่า “แม้ความปรุงแต่งทั้งหลายก็เป็นธรรม” หากไม่หลงยึด จึงนำสิ่งที่ปกติถูกมองว่าเป็นอุปสรรค เช่น ความโกรธ ราคะ ความกลัว มาใช้เป็นเครื่องฝึกจิตได้โดยตรง โดยต้องอยู่บนฐานของปัญญาและสุญญตา
ตามที่กล่าวมานี้เป็นเพียงหลักใหญ่ๆที่สำคัญในพระพุทธศาสนาเท่านั้น มุสลิมสามารถศึกษาหลักการ ความศรัทธา คัมภีร์ของพุทธศาสนาได้ แต่มุสลิมไม่อาจจะร่วมปฏิบัติพิธีกรรมทางพุทธศาสนาได้ เพราะมีหลายสิ่งในคำสอนของพระพุทธศาสนาขัดกับความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของศาสนาอิสลาม
เพราะฉนั้นก่อนที่มุสลิมจะศึกษาพุทธศาสนานั้น มุสลิมจะต้องศึกษาศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและเข้าใจอัลกุรอานอย่างถูกต้อง จนจบเสียก่อน จนแน่ใจในอีมาน ของตนเองที่มีต่อหลักการของศาสนาอิสลาม เพื่อที่จะได้อธิบายหรือตอบโต้พุทธศาสนิกชนได้อย่างสุภาพและไม่ล่วงเกินต่อกัน
ادْعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ ۖ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ ۚ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعْلَمُ بِمَنْ ضَلَّ عَنْ سَبِيلِهِ ۖ وَهُوَ أَعْلَمُ بِالْمُهْتَدِينَ {125}
[Yusufali 16:125] Invite (all) to the Way of thy Lord with wisdom and beautiful preaching; and argue with them in ways that are best and most gracious: for thy Lord knoweth best, who have strayed from His Path, and who receive guidance.
มุสลิมศึกษาพระพุทธศาสนาได้หรือไม?
.......................................................
พุทธศาสนาที่เราเห็นผู้ปฎิบัติกันอยู่ในสังคมไทยนั้น ไม่ใช่มีแต่ เบญจศีล (ศีล ๕) ที่นักเรียนท่องสวดในชั้นเรียนแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้นในการที่เยาวชนมุสลิมสนทนากับพุทธศาสนิกชนนั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจหลักสำคัญสูงสุดของพุทธศาสนา ว่าพุทธศาสนานั้นมีจุดมุ่งหมายอะไร และมีลักษณะอย่างไร
เบญจศีล เป็นหลักธรรมประจำสังคมที่มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ปรากฏในจักกวัตติสูตร อันกล่าวถึงเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิตรัสสอนประชาชนว่า ท่านทั้งหลายต้องไม่ฆ่าสัตว์, ต้องไม่ถือเอาของที่เขามิได้ให้ , ต้องไม่ประพฤติไม่เหมาะสมทางเพศ , ต้องไม่กล่าวเท็จ, และต้องไม่บริโภคสุรายาเมา ต่อมา เมื่อมีผู้ประพฤติผิดจากที่พระเจ้าจักรพรรดิสอน จึงมีการลงโทษด้วยวิธีจับแขนไพล่หลังแล้วเอาเชือกเหนียวมัดอย่างมั่นคง โกนผม และประโคมบัณเฑาะว์เสียงกร้าว แห่ประจานไปตามถนนและตรอกซอกซอย พาออกไปทางประตูเมืองทิศใต้ ก่อนประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ( https://th.wikipedia.org/wiki/ )
ความเชื่อหลัก ของพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานำเสนอ "กรอบปรัชญามากกว่าความจริงแท้แน่นอน"
อริยสัจสี่: ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ: ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ความจริงเหล่านี้กำหนดลักษณะของความทุกข์และหนทางสู่การดับทุกข์อริยมรรคมีองค์แปด: เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาจริยธรรมและจิตใจที่นำไปสู่การตรัสรู้, เรามักจะได้ยินว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธศาสนาเน้นประสบการณ์และความเข้าใจส่วนบุคคล ส่งเสริมให้บุคคลสำรวจและทำความเข้าใจความจริงของตนเอง
พระพุทธศาสนาไม่ได้อ้างสิทธิ์เฉพาะต่อความจริงแต่ยอมรับมุมมองที่หลากหลาย พระพุทธศาสนามีต้นกำเนิด ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลในอินเดีย และได้พัฒนาเป็นนิกายต่างๆ โดยแต่ละนิกายตีความคำสอนต่างกันนิกายหลักๆ ได้แก่ เถรวาท มหายาน และ วัชรยาน หรือ ตันตระ โดยแต่ละนิกายมีการปฏิบัติและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในหลายเส้นทางในการทำความเข้าใจการดำรงอยู่และความทุกข์ คำถามที่ว่าพระพุทธศาสนาเป็น "ความจริงแท้" หรือไม่นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลและแตกต่างกันไปตามความเชื่อและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เช่น เรื่อง"นิพพาน"
นิพพาน ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในพระพุทธศาสนา หมายถึงภาวะสูงสุดแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์และวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ความจริงของนิพพานนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์เช่นเดียวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนิพพานเป็นแนวคิดทางจิตวิญญาณและปรัชญาเป็นหลัก
การทำความเข้าใจนิพพาน:
นิพพานหมายถึงการสิ้นสุดของความปรารถนา ความยึดติด และความทุกข์ นิพพานถูกอธิบายว่าเป็นภาวะแห่งความสงบและการตรัสรู้ที่ลึกซึ้ง ประสบการณ์ของนิพพานเป็นเรื่องของอัตวิสัยและส่วนบุคคล ทำให้ยากต่อการตรวจสอบด้วยการวัดเชิงวัตถุ คัมภีร์ทางพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎกบาลี อธิบายเส้นทางสู่การบรรลุนิพพาน โดยเน้นที่การทำสมาธิ จริยธรรม และปัญญา ผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนรายงานประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับแนวคิดของนิพพาน แต่ประสบการณ์เหล่านี้เป็นเพียงการเล่าต่อๆ กันมา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: ประเพณีทางพุทธศาสนาที่แตกต่างกันตีความและอธิบายนิพพานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อความเข้าใจและการปฏิบัติต่อนิพพาน
สรุป: แม้ว่านิพพานจะเป็นรากฐานของความเชื่อทางพุทธศาสนา แต่ความจริงของนิพพานยังคงเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลและประสบการณ์มากกว่าการพิสูจน์เชิงประจักษ์ ทั้งนี้เพราะว่า ธรรมทั้งหลายที่ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งถึง "พระนิพพาน" เป็นที่สุดนั้น เป็น “สันทิฏฐิโก” คือ “ของใครใครเห็น”
ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีนิกายที่สำคัญอยู่สามนิกายคือเถรวาท มหายาน และวัชรยานหรือตันตรยาน ในส่วนของนิกายเถรวาทและมหายาน พุทธศาสนิกชนส่วนมากมักจะรับรู้และมีความเข้าใจกันพอสมควร ประเทศไทยก็ได้จัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยพระพุทธศาสนามาหลายครั้ง แต่อีกนิกายหนึ่งอยู่กึ่งๆระหว่างเถรวาทและมหายาน แต่มีข้อปฏิบัติที่แยกออกไปอีกอย่างหนึ่ง ที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือพระพุทธศาสนานิกายตันตรยานแต่มักชอบเรียกตัวเองว่าวัชรยาน
1. มหายาน มองพระพุทธพจน์ในแง่ปรัชญา วิพากษ์วิจารณ์ความหมายพระพุทธพจน์ไปในแง่ต่าง ๆ ตามความคิดของบุคคลแต่ละบุคคล ปรับปรุงธรรมวินัยไปตามกาลเทศะ เพื่อความเหมาะสมแก่ประชาชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์แก่ พระพุทธศาสนา มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีนแล้วใช้ต้นฉบับนั้นเป็นหลัก มหายานสอนให้ “สละตัวตน” เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยโพธิจิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา ถือว่าการหลุดพ้นของตนเองไม่สำคัญเท่ากับการนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ร่วมกัน
2. เถรวาท(หินยาน/ทักษิณนิกาย) ยึดมั่นอยู่ในธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามแบบเดิมตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยกพระธรรมวินัยไว้ในฐานะอันสูงส่งและศักดิสิทธิ์ แม้พระไตรปิฎกก็ไม่เปลี่ยนแปลง คงรักษาของเดิมซึ่งเป็นภาษามคธเอาไว้เป็นหลักเป็นธรรมนูญของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใครจะแปลเป็นภาษาอะไรก็แปลไปแต่ไม่ทิ้งของเดิมคงรักษาของเดิมภาษามคธเป็นหลัก เถรวาทสอนให้ “ละ” ทุกสิ่งเพื่อเข้าถึงความสงบเย็น โดยเน้นการเจริญสติและปัญญาเพื่อเห็นไตรลักษณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้สิ่งเร้าใด ๆ
3. วัชรยาน (ตันตระ) พุทธศาสนาฝ่ายวัชรยานในเมืองไทย ได้รับการสืบทอดมาจากพระอารามริโวเช ซึ่งเป็นต้นสายของวัชรยาน จากแคว้นคาม ทิเบตตะวันออก โดยมีพระมหาวัชรจารย์ โซนัม ท๊อปเกียว รินโปเชเป็นผู้สืบทอด และมีการฝึกปฏิบัติแนวทางนี้ที่ริโวเชธรรมสถาน และวัดโพธิ์แมนคุณาราม กรุงเทพมหานคร วัชรยานสอนว่า “แม้ความปรุงแต่งทั้งหลายก็เป็นธรรม” หากไม่หลงยึด จึงนำสิ่งที่ปกติถูกมองว่าเป็นอุปสรรค เช่น ความโกรธ ราคะ ความกลัว มาใช้เป็นเครื่องฝึกจิตได้โดยตรง โดยต้องอยู่บนฐานของปัญญาและสุญญตา
ตามที่กล่าวมานี้เป็นเพียงหลักใหญ่ๆที่สำคัญในพระพุทธศาสนาเท่านั้น มุสลิมสามารถศึกษาหลักการ ความศรัทธา คัมภีร์ของพุทธศาสนาได้ แต่มุสลิมไม่อาจจะร่วมปฏิบัติพิธีกรรมทางพุทธศาสนาได้ เพราะมีหลายสิ่งในคำสอนของพระพุทธศาสนาขัดกับความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของศาสนาอิสลาม
เพราะฉนั้นก่อนที่มุสลิมจะศึกษาพุทธศาสนานั้น มุสลิมจะต้องศึกษาศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและเข้าใจอัลกุรอานอย่างถูกต้อง จนจบเสียก่อน จนแน่ใจในอีมาน ของตนเองที่มีต่อหลักการของศาสนาอิสลาม เพื่อที่จะได้อธิบายหรือตอบโต้พุทธศาสนิกชนได้อย่างสุภาพและไม่ล่วงเกินต่อกัน
[Yusufali 16:125] Invite (all) to the Way of thy Lord with wisdom and beautiful preaching; and argue with them in ways that are best and most gracious: for thy Lord knoweth best, who have strayed from His Path, and who receive guidance.