เมื่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งระยะลุกลาม

จากที่ไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนี้เลย พอมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้รู้เลยว่าเวลามีค่าแค่ไหน (เวลาที่เหลือ) ช่วงแรกทั้งกดดันทั้งบังคับให้แม่กินของดีๆ พอเวลาผ่านไปเริ่มคิดได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสุขของแม่ ไม่สำคัญว่าจะหายหรือไม่ พยายามใช้เวลาที่มีดูแลแม่ให้ดีที่สุด ในวันที่แม่ยังดูปกติและแข็งแรงอยู่ตอนนี้

แต่มันเกิดคำถามหลายๆอย่างเรื่องการรักษา คำพูดที่หมอบอกกับประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านมะเร็งระยะสุดท้ายมา มันต่างกันแปลกๆ

หมอ : จะบอกว่าไม่มีโอกาสหายขาด ใช้การประคับประครองอาการ ไปให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต 1-2 ปี ให้คีโมก็ทรุดลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็สู้ยาไม่ไหว เสียชีวิต

คนที่ผ่านมา : ก็บอกว่า พอหมอหยุดการรักษา ให้ยามีประครองอาการกลับมาบำรุงตัวเอง รักษาตัวเอง กำลังใจดีๆ อยู่ก็ดีขึ้นบ้าง หายบ้าง อยู่ได้ 5 ปี 10 ปี

มันเกิดข้อสงสัยหลายอย่างว่าสรุปการรักษาแบบไปจนสุดทางมันดีหรือไม่ดีกันแน่ ทำไมข้อมูลที่มีถึงมีเปอร์เซ็นเสียชีวิตเยอะกว่าคนที่หาย ขนาดหมอยังบอกว่าอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ในขณะคนที่กลับมาใช้ชีวิต ดูแลตัวเองบำรุงตัวเองกลับอยู่ได้นานเกินกว่าที่หมอระบุ

ความคิดตอนนี้คือยังจะให้แม่เข้าสู่กระบวนการรักษาของแพทย์ แต่ถ้าแม่ไม่ไหว แม่ไม่อยากรักษาแล้วก็จะไม่บังคับท่าน คิดว่าต่อให้จะอยู่ได้นานหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้แม่ได้มีสิทธิ์เลือกชีวิตของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตห้วงสุดท้ายกับครอบครัว ได้กินของที่ชอบขอบที่อยากกิน ดีกว่านอนทรุดอยู่ที่ รพ เพราะสู้คีโมไม่ไหว ทุกวันนี้ พยายามหาของดีๆ ที่มีประโยชน์ให้แม่กินตลอด บำรุง ดูแลให้มากที่สุด ให้พร้อมรักการรักษา

สุดท้าย : การที่ครอบครัวเป็นมะเร็งอาจจะเป็นความโชคดีก็ได้ เพราะจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ให้เราได้เห็นคุณค่าของเวลาที่เหลืออยู่ที่จะใช้การมีค่าในทุกๆ วัน อะไรที่ไม่เคยทำให้แม่ ก็ทำให้ ได้อยู่แลท่านแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ถึงเวลาที่แม่จากไป เราจะได้ไม่เสียใจทีหลัง ที่ไม่มีโอกาสได้ใส่ใจดูแลในวันที่แม่มีชีวิตอยู่ 😢

เพื่อนๆ มีประสบการณ์ หรือความคิดเห็นอะไรมาแชร์กันได้นะครับ แม่ผมตรวจพบมะเร็งกระเพราะอาหาร ลามไปที่ช่องท้องและต่อมน้ำเหลือง ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่