“ไปเป็นครูสิ มันถึงสบาย” จริงเหรอ? | แชร์ประสบการณ์การเป็นข้าราชการครูไทย

แน่นอนว่าอาชีพที่คนไทยไม่ว่าจะยุคไหน เมื่อถูกถามว่าอยากเป็นอะไรก็ไม่คงจะเป็น หมอ พยาบาล หรือไม่ก็ ครู
ซึ่งการทำงานแต่ละอาชีพก็มีความยากง่ายแตกต่างกันไป แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
ซึ่งในวันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การเป็นครู ให้ลองอ่านกันดูค่ะ เผื่อน้องๆ หรือเพื่อนๆที่สนใจอยากมาเป็นครูได้เตรียมตัวเตรียมใจกันค่ะ ว่าสายอาชีพนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง

การเป็นครูในไทยจะแบ่งหลักๆ ก็จะคือครูที่เป็นข้าราชการ  กับครูอัตราจ้าง
ข้าราชการครูคือ ครูที่ได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้สิทธิ์ตามกฎหมายที่รัฐบาลกำหนด
และครูอัตราจ้างคือ ครูที่โรงเรียนจ้างมาเพื่อสอนในรายวิชาที่ขาดครูด้วยเงินของโรงเรียนเอง

มาเข้าเรื่องหน้าที่ของครูกันบ้างค่ะ เมื่อเราก้าวเข้าสู่อาชีพครูแล้ว สิ่งแรกที่ทุกคนต้องมีเลย คือ ใจสู้และแพชชั่นในการอยากสอนหนังสือเด็กๆ
อย่างที่เราหลายคนมักเคยได้ยินผู้ใหญ่หรือคนรอบตัวชอบพูดว่า “ไปเป็นครูสิ ถึงสบาย” จริงมั้ย?  พอได้มาเป็นครูจริงๆแล้วถึงจะรู้ค่ะ ว่าไม่ได้สบายอย่างที่เขาพูดกันเลย เพราะฉะนั้น คนใจสู้ที่เข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะรอดค่ะ 555+
เพี้ยนช้อปปิ้ง

เริ่มจากเช้าไปถึงเย็นครูต้องทำอะไรกันบ้าง?
- ครูต้องตื่นเช้า เพื่อไปให้ทันโรงเรียนก่อน 08.00 น. เพราะช่วง 8 โมง - 8 โมงครึ่ง คือเวลาเข้าแถวหน้าเสาธง บางคนบ้านไกลก็ตื่นตี 4 ตี 5 ออกจากบ้าน 6 โมง  เพราะส่วนใหญ่คาบแรกของเกือบทุกโรงเรียนจะเริ่ม 08.30 น. และไม่ใช่ว่าครูมาลงเวลาทำงานแล้วจะไปสอนได้เลย ครูต้องไปเช็คชื่อ เข้าแถว ไหว้พระสวดมนต์ก่อน ฟังข่าวสารแจ้งจากโรงเรียนที่สนามถึงจะขึ้นเรียนคาบแรกได้  
ดังนั้น ครูบางคนที่มีคาบแรกต้องรีบกินข้าวเช้าให้เสร็จก่อนเข้าแถว ก็คือก่อน 8 โมง หรือไม่ก็อดไว้ก่อนแล้ว ไปกินหลังจากคาบสอนเสร็จ บางคนมีคาบติดยาวก็ไปกินเที่ยงเลยทีเดียว 5555+
เพี้ยนกินมาม่า
- การเรียนการสอน
ก่อนจะมาสอนนักเรียนในคาบหนึ่งๆได้ ครูต้องเตรียมสอน เตรียมสื่อ เตรียมใบรายชื่อ โรงเรียนไหนในห้องมีจอทีวี มีจอโปรเจคเตอร์ มีลำโพง มีไมค์ ก็จะผ่อนแรงครูไปได้บ้าง แต่ในโรงเรียนที่ไม่มีอะไรให้เลย มีเพียงกระดานกับแปรงลบกระดานให้ ครูก็ต้องทำสื่อทำมือไปเอง ทำชีสเรียน ซื้อลำโพง ไมค์ไปเองด้วย

นอกจากหน้าที่ที่ต้องสอนหนังสือแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น —
ครูทุกคนต้องมีงานพิเศษในโรงเรียนอย่างน้อยคนละ 1 งาน / แต่บางโรงเรียนถ้าบุคลากรน้อย ครูบางคนก็ต้องมีงานพิเศษเพิ่มหน้าที่ไปอีก สอง สาม สี่ ห้า หกอย่างค่ะ
งานพิเศษในโรงเรียนก็เช่น งานพัสดุ การเงิน วิชาการ ( งานทะเบียน วัดผล หลักสูตร) อำนวยการ กิจการนักเรียน อาคารสถานที่ ยานยนต์ เป็นต้น และอีก บลาๆๆ
ดังนั้น — หลังจากคาบสอนเสร็จ นอกจากครูจะมาเคลียร์งานของนักเรียน เตรียมสอนต่อ แล้วยังต้องเคลียร์งานพิเศษเหล่านี้ต่ออีกด้วย บางงานก็ใช้เวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ก็มี ทำให้บวกเพิ่มหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้นไปอีก  บางครั้งก็มีประชุมแทรกเข้ามาอีกด้วย

เพี้ยนทุบคอม
——- ส่วนใหญ่คนทุกคน ก็จะมีเรื่องที่ถนัด ไม่ถนัด ชำนาญ ไม่ชำนาญต่างกัน แต่ พอมาเป็นครูแล้ว ครูไทยถูกบีบบังคับให้ต้องเก่ง ต้องเป็นทุกอย่างครอบจักรวาล ตั้งแต่ไม่จิ้มฟันยันเรือรบ ต้องทำได้ทุกอย่างแม้แต่เรื่องที่ไม่เคยทำก็ต้องลองทำ ก็อย่างว่าอีกหากเป็นโรงเรียนเล็ก บุคลากรน้อย ครูบางคนก็ต้องเป็นภารโรงไปด้วย ซ่อมผนัง ทาสีกำแพง ขุดลอกท่อ ซ่อมห้องน้ำ ซ่อมประตู และอีกมากมายจิปาถะที่นับไม่ถ้วน 🥹🥹

เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนที่อยากมาเป็นครูจะต้องฝึกเตรียมไว้และคือสิ่งที่สำคัญมากๆนอกจากมีใจสู้ที่เข้มแข็งแล้ว ก็คือ
- หนังสือราชการ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือออก หนังสือเข้า เอกสารเบิกเงิน ออกค่ายต่างๆมากมายก็ต้องทำเป็น
- วิชาการงานพื้นฐานอาชีพเบื้องต้น
- วิชาปฐมพยาบาลพื้นฐาน เผื่อมีนักเรียนเกิดเหตุฉุกเฉิน
- วิชาจิตวิทยา การพูดที่ปลอบประโลมหรือยึดเหนี่ยวจิตใจให้นักเรียน
- และในสมัยนี้แน่นอนว่า ครูก็ต้องปรับตัวเป็นยุคเทคโนโลยี / เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานก็ต้องได้
- ต้องคอยติดตามข่าวสารใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน
กางเต้นท์รอ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้คนเราโหยหาชีวิตการทำงานที่ work life balance แต่อาชีพครูต้องหาจุดนี้กันเอาเอง
เพราะการเป็นครูคือต้องเป็น 24 ชม. ไลน์งานด่วนจะเด้งตลอด แม้ว่าจะดึกขนาดไหนก็ตาม บางครั้งก็เป็นไลน์โรงเรียน บางครั้งเป็นไลน์จากผู้ปกครอง จากนักเรียนแจ้งเหตุฉุกเฉิน  ไลน์จะเด้งแม้กระทั่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อน แต่ด้วยภาระงานที่เยอะล้นจนเคลียร์ในเวลาราชการไม่ทัน ครูก็ต้องหอบงานมาทำต่อที่บ้านวันหยุดกันเหมือนเดิมค่ะ 555++

และเพราะอาชีพครู เป็นอาชีพที่ไม่มีการสะสมวันลา หรือลาพักร้อนได้เหมือนสายอาชีพอื่น ครูจะมีแค่ช่วงปิดภาคเรียน 2 ครั้งคือเดือนตุลาคม กับเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่ถือว่าครูได้พักผ่อนมากที่สุดแล้ว ครูก็ยังต้องมีงานตามคำสั่งมาเรื่อยๆอยู่เสมอ หรือมีคำสั่งดูแลอะไรเป็นพิเศษก็ต้องมาปฏิบัติหน้าที่ และช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ครูได้กอบโกยเวลาในการเคลียร์งานค้าง เตรียมสอน พักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัว
ดังนั้นการหา work life balance ของครูก็เลยต้องหาจุดที่ตัวเองโอเคที่สุดเอาเองค่ะ

| รีวิวการทำงานอาชีพครูคร่าวๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ ใครที่เป็นครูอยู่แล้วมีจุดไหนอยากเพิ่มเติม อยากแชร์ประสบการณ์ หรือคนที่มีข้อสงสัยอยากซักถามเกี่ยวกับการเป็นครู ก็คอมเมนท์มาพูดคุยกันได้เลยนะคะ
tripnote012
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่