JJNY : ศก.ของประเทศนี้มี ‘แผลเป็น’ เต็มตัว│“สส.ปชน.”ประกาศหาตัว“รมว.พณย์”│‘ชลธิชา’แจ้งข่าวดี│รักษ์เลย ค้านสร้างกระเช้า

เศรษฐกิจของประเทศนี้มี ‘แผลเป็น’ เต็มตัว ธุรกิจเล็กๆ ไม่ฟื้น คนทั่วไปเงินไม่พอใช้จ่าย
.
.
เจ็บกันถ้วนหน้า ข่าวออกทุกวันไม่ว่างเว้น ทุกคนล้วนตั้งคำถามว่า “หรือนี่จะเป็นปีเผาจริง ปีซึมลึกของเศรษฐกิจไทย” แม้ว่า GDP ไทยในไตรมาสแรกของปีจะเติบโตเกิน 3% แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยที่สุดภูมิภาค หรือแบบละเอียดๆ คือ เติบโตน้อยกว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
.
ยิ่งไปกว่านั้นสภาพัฒน์ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยลงแล้ว โดยคาดว่าน่าจะเติบโตได้เพียงแค่ 1.3-2.3% เท่านั้นในปีนี้ หลายคนตั้งคำถามว่า ปัญหาของเศรษฐกิจไทยคืออะไร เหตุใดเราถึงไม่ฟื้นอย่างที่หวัง Brand Inside สรุปคำอธิบายของ SCB EIC ที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยมี ‘แผลเป็น’ อะไรบ้างที่เกิดจากปัญหาโครงสร้างซ้ำเติมด้วยปัญหาโควิด
.
รายงาน ‘Economic scars : แผลเป็นเศรษฐกิจไทย ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทิ้งไว้หลังโควิด’ ของ SCB EIC เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เราเห็นว่า ตอนนี้ ‘เศรษฐกิจไทย’ ฟื้นตัวจากโควิดได้ช้าระดับท้ายๆ ของโลก เพราะต้องใช้เวลากว่า 4 ปี GDP จึงจะกลับไปแตะระดับเดิม โดยฟื้นตัวรั้งท้ายอยู่อันดับ 72 จาก 81 ประเทศ
.
ยิ่งไปกว่านั้น คือ เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% เท่านั้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา โอกาสทางเศรษฐกิจไทยของไทยหายไปกว่า 6 ล้านล้านบาท โดยโควิดสร้าง ‘รอยแผลเป็น’ ซ้ำเติมกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เศรษฐกิจไทยมีอยู่เดิมแล้ว
.
SCB EIC ได้แบ่ง ‘แผลเป็น’ ที่ทิ้งรอยไว้บนประเทศไทยไว้บนเศรษฐกิจกิจไทย ออกเป็น 2 ภาคส่วน คือ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน โดยเราจะพูดถึงแผลเป็นของ ‘ภาคธุรกิจ’ ก่อน
.
1) ธุรกิจไทย รายใหญ่โต รายเล็กร่อแร?
.
หลังโควิดภาคธุรกิจไทยกำลังฟื้นตัวแบบ K-shape คือ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ฟื้นตัวแล้ว แต่ธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อมที่มีสัดส่วนกว่า 90% ของธุรกิจทั้งหมดยังไม่ฟื้นตัว (รายได้ปี 2023 ยังหดตัว 1.5% เทียบกับก่อนโควิด) แปลว่าธุรกิจไทยในไทยฟื้นตัวไม่เท่ากันและห่างกันขึ้นเรื่อยๆ ในรูปแบบตัว K
.
2) บริษัทผีดิบ ไม่โตแต่ไม่ตาย สูงขึ้นอีก
.
บริษัทแบบที่เรียกว่า บริษัทผีดิบ (Zombie firm) หรือ ไม่โต แต่ไม่ตาย ยังคงมีสัดส่วนสูง และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนด้วย (เคยมีสัดส่วน 5.5% ในปี 2019 ก่อนจะมีสัดส่วน 5.8% ในปี 2023) และที่แย่ไปกว่านั้น คือ 78% เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม
.
3) ยิ่งนานวัน ตัวเลขเปิดปิดกิจการ ยิ่งน่าเป็นห่วง
.
สองเดือนแรกของปี 2025 พบว่า ธุรกิจเปิดใหม่หดตัว 5.1% แต่ธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น 16.9% สอดคล้องกับจำนวนการเปิดโรงงานที่ลดลง 4 ปีติดต่อกันตั้งแต่เกิดโควิด ขณะที่จำนวนโรงงานปิดตัวลงมากขึ้นเกือบ 2 เท่าเทียบกับปี 2020 ที่เกิดโควิด
.
ส่วนปัญหาฝั่ง ‘ครัวเรือนไทย’ นั้นแบ่งออกเป็น 3 ปัญหาหลัก
.
1) คนไทยรายได้ไม่พอรายจ่าย เพราะ ‘รายได้’ ไม่ฟื้น
.
SCB EIC พบว่า กว่า 32% ของครัวเรือนไทยที่มีหนี้สินจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ใน 5 ปีข้างหน้า แถมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ขณะที่อีก 17% จะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน 3-5 ปี ส่วนอีก 26% จะต้องใช้เวลา 1-3 ปี ขณะที่กลุ่มที่ฟื้นใน 1 ปีหรือฟื้นแล้วมีเพียงแค่ 23%
.
2) ตลาดแรงงานฟื้นตัวแค่ปริมาณ แต่อย่างอื่นไม่ใช่ด้วย
.
เพราะแม้จำนวนการว่างงานร่วม-ชั่วโมงการทำงานจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ ‘ค่าจ้างเฉลี่ย’ ของลูกจ้างในปี 2024 กลับโตต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด (1.3% กับ 3.3%) หรือเรียกว่าต่ำกว่าเกือบ 2 เท่า นอกจากนั้น อัตราว่างงานของเด็กจบใหม่ยังเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด (5.6% ในปี 2024 กับ 5.35% ในปี 2019)
.
รวมถึงแรงงานไทยยังย้ายไปทำงานนอกระบบมากขึ้น (53% ของผู้มีงานทำ) โดยปัญหาคือแรงงานกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของแรงงานในระบบเท่าตัว (8,513 บาทต่อเดือน กับ 16,202 บาทต่อเดือน) และยังมีรายได้ไม่แน่นอนด้วย
.
3) หนี้ยังเยอะกว่าก่อนโควิด
.
แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะลดลงหลายไตรมาสติดในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังสูงกว่าช่วงก่อนเกินโควิดอยู่ดี รวมถึงหนี้เสียในช่วงเดือนแรกของปี 2025 ยังปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 9% เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าคนไทยจำนวนมากยังมีโอกาสจะสูญเสียความสามารถในการจ่ายหนี้
.
โดยสรุปคือ ธุรกิจไทยรายใหญ่ๆ ฟื้นตัวกลับมาเติบโตแล้ว แต่รายเล็กกลับไม่ฟื้นตัวตาม หลายธุรกิจยังคงถดถอย จนทำให้บริษัทผีดิบที่มีสถานการณ์ไม่โตแต่ไม่ตายเพิ่มสูงขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้น คือ ยิ่งนานวัน ตัวเลขเปิดปิดกิจการ ยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้น
.
นอกจากนั้น คนไทยหลายคนรายได้ไม่พอรายจ่าย-หนี้เยอะจนฟื้นตัวช้า หลายครอบครัวอาจต้องใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะฟื้นตัวได้ ที่สำคัญคือ ‘ค่าจ้าง’ โตต่ำกว่าเดิมมาก-จบใหม่ว่างงานเยอะกว่าก่อนโควิด รวมถึงแรงงานไหลออกนอกระบบเยอะขึ้นๆ ทำให้คนไทยที่ทำงานนอกระบบมีรายได้ต่ำ-ไม่แน่นอน
.
ปีนี้จะเติบโตช้าลง-ชะลอลงอีก
.
ที่หนักกว่านั้นคือ SCB EIC ยังประเมินว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้าลงและชะลอลงอีก เพราะสารพัดแผลเป็นที่ฉุดรั้ง และช่วงครึ่งปีหลังก็ยังมีปัญหากดดันซ้ำเติมอย่างส่งออกขยายตัวต่ำ เพราะกำแพงภาษีของทรัมป์ รวมถึงภาคการผลิตไม่ฟื้นตัวจากสินค้าจีนตีตลาด
.
สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนในเวลานี้คือ นโยบายช่วยเหลือจากภาครัฐ เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านช่วงยากลำบากไปได้ โดยเน้นสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจจากภายในอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น
.
ภาคธุรกิจ : มาตรการผ่อนคลายปัญหาการเงิน / ปกป้องธุรกิจขนาดเล็กจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมจากสินค้าต่างชาติ / ลดกฎเกณฑ์ภาครัฐ ลดต้นทุน / เพิ่มขีดความสามารถในระยะยาว เพื่อให้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วขึ้นในอนาคต
.
ภาคครัวเรือน : มาตรการช่วยเหลือด้านรายได้ระยะสั้นผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจ / การจัดการหนี้เดิม-ปรับโครงสร้างหนี้ / สนับสนุนการเพิ่มรายได้ครัวเรือนให้พอรายจ่าย / ผ่อนคลายนโยบายการเงินให้คนไทยฟื้นตัวได้ / เพิ่มทักษะแรงงาน เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
.
หลังจากเหตุแผ่นดินไหว-กำแพงภาษีของทรัมป์ SCB EIC ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.5% เท่านั้น
.
แล้วคุณล่ะมองเศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังไงบ้าง?
.


“สส.ปชน.” ประกาศหาตัว “รมว.พาณิชย์” หายไปไหนไม่แก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มตก ทำไม่ได้ก็ลาออกเถอะ!
.
วันที่ 23 พ.ค.2568 ที่รัฐสภา นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวพร้อมโชว์ภาพถ่าย ตามหานายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่าป่วยหรือเป็นอะไรที่ไม่สามารถสั่งการข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายในได้ หรือไม่สามารถประสานกระทรวงอุตสาหกรรมที่ดูแลเครื่องจักรในโรงงานหีบปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ได้ เพราะที่ผ่านมา ดูเหมือนการแก้ปัญหาเป็นการพายเรือในอ่าง ตนจึงต้องมาสอบถามว่านายพิชัยไม่สบายหรือไม่ หรือไปรักษาตัวอยู่ที่ไหน หรือไปนั่งสมาธิอยู่ที่ไหน ถ้าท่านทำงานไม่ได้ก็ลาออกไปเถอะ เพราะวันนี้ ชาวสวนปาล์มน้ำมันในภาคใต้เดือดร้อนมาก มีค่าใช้จ่ายรายวัน แต่ลานเทไม่รับซื้อ และรถที่ซื้อจากชาวสวนไปเข้าโรงหีบก็ติดยาวเหยียด ทำให้น้ำหนักหายเป็นตัน ส่งผลให้ขาดทุน ส่งผลกระทบต่อชาวสวนปาล์มอย่างมาก
.
นายประเสริฐพงษ์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าอธิบดีกรมการค้าภายในจะไปประชุมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เมื่อกลับมาที่ กทม. ปัญหาก็เหมือนเดิม ไม่ได้รับการดูแล ทั้งที่เรื่องนี้กระทบกับคนไทยที่ซื้อน้ำมันปาล์มขวดในราคาแพง  ทั้งที่ชาวสวนขายน้ำมันได้ถูก อย่างนี้จะมีรัฐมนตรีไปทำไม ถ้ายังมีการเอาเปรียบชาวสวน ผู้ผลิตและผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องให้นายพิชัยรีบจัดการ หากเป็นไปได้ขอให้ไปเจอชาวสวนปาล์มด้วย เพราะตนเห็นว่าที่ผ่านมา การแก้ปัญหาถือว่าแย่มากๆ
.
ชาวสวนฝากผมมาต่อว่าแรงๆ ก็ไม่รู้จะต่อว่าอย่างไรแล้ว ที่ผ่านมาเอาน้ำยามาให้ ก็บอกเป็นนัยๆว่าท่านไม่มีน้ำยา แต่วันนี้ก็ต้องมาถามว่าท่านไม่สบายหรือเปล่า ไปนั่งสมาธิหรือไปเป็นสายมู เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าหากป่วยก็ให้คนอื่นไปทำงานแทนก็แล้วกัน เพราะในสภาก็ไม่เคยเห็น” นายประเสริฐพงษ์ กล่าว
.
ทั้งนี้ ภายหลังแถลงข่าวเสร็จ นายประเสริฐพงษ์ ได้ถือภาพถ่ายนายพิชัยมาให้สื่อมวลชนประจำรัฐสภาดู พร้อมระบุว่า “นายพิชัย หน้าตาเป็นแบบนี้ อมทุกข์ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ หายไปไหน อย่างนี้ก็ลาออกเถอะ
.

.
‘ชลธิชา’แจ้งข่าวดี ‘รมช.ต่างประเทศจีน’รับปากติดตามปัญหา‘สารพิษแม่น้ำกก-สาย-โขง’
.
‘ชลธิชา’แจ้งข่าวดี ‘รมช.ต่างประเทศจีน’รับปากติดตามปัญหา‘สารพิษแม่น้ำกก-สาย-โขง’ พร้อมแสดงจุดยืนของจีนทวงถามบริษัทจีนที่ไปลงทุนให้ยึดหลักธรรมาภิบาล-ยึดกฎหมายสิ่งแวดล้อม
.
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ดิฉันมีความยินดีที่จะแจ้งเกี่ยวกับการหารือระหว่างสมาชิก กมธ.การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรไทย กับนายซุน เว่ยตง รมช.การต่างประเทศจีน และนายห่าว ผิง รองประธานกมธ.การต่างประเทศ ของสภาประชาชนจีน เกี่ยวกับประเด็นสารพิษในแม่น้ำกก-สาย-โขง อันเป็นผลจากเหมืองแร่ของบริษัทจีนในประเทศพม่า เมื่อวานนี้ (22 พ.ค. 2568) ค่ะ
.
น.ส.ชลธิชา ระบุว่า ทั้งส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล ในกมธ.การต่างประเทศ ล้วนเห็นพ้องต้องกันค่ะว่า ปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก-สาย-โขง เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ ที่เราในฐานะผู้แทนของประชาชนคนไทย และสมาชิก กมธ.การต่างประเทศ สามารถร่วมกันเป็นกระบอกเสียง และใช้กลไกการต่างประเทศเข้ามามีบทบาทในการช่วยแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาจากต้นเหตุสารพิษซึ่งคือการทำเหมืองแร่ได้ ประเด็นนี้จึงเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกับทางการจีน นอกเหนือไปจากเรื่องการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี ส่งเสริมการค้า-การท่องเที่ยว ความร่วมมือในการบริหารจัดการปัญหาคอลเซ็นเตอร์ สถานการณ์ในพม่า อื่นๆ ตลอดจนเรื่องการกำกับดูแลผลกระทบของการลงทุนของจีนต่อสิ่งแวดล้อมในไทย ซึ่งดิฉันและเพื่อนๆสมาชิก กมธ.ร่วมกันเสนอในการประชุม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่