แก้ 5 ความเชื่อผิดเรื่อง ‘ผมร่วง’ ก่อนสายเกินไป
ปัญหาเส้นผม เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าอะไรคือสาเหตุของการทำให้ผมร่วง ผมบาง และผมเสีย จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เส้นผมเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ขณะที่อาการผมร่วงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเช่นเดียวกัน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ
เกร็ดความรู้จาก “โรงพยาบาลพญาไท 3” บอกเล่าสาระดีๆเกี่ยวกับเรื่องผมร่วง ว่า แม้หลายคนจะพยายามดูแลเส้นผมของตัวเองเป็นอย่างดี ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง เพราะยังมีความเข้าใจผิดในหลายเรื่อง โดยมีความเชื่อหลายเรื่องเกี่ยวกับ “ผม” ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด และควรทำความเข้าใจใหม่ เพื่อให้การดูแลเส้นผมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5 ความเชื่อผิดๆเรื่องผมร่วง
1.ดึงผมหรือถอนผมหงอก เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำให้ผมร่วงผมบาง
เวลามีผมหงอก มีผมเสียเกิดขึ้น เรามักจะชอบดึงหรือถอนออก ไม่ปล่อยให้เป็นแกะดำอยู่บนศีรษะจนเสียบุคลิก และมักคิดกันว่าเดี๋ยวผมก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริง คือการดึงผมหรือถอนผมหงอก มีส่วนทำให้ผมร่วงผมบางได้มากขึ้น เพราะเส้นผมของคนเรามีอายุขัยประมาณ 15-20 ชีวิต หมายความว่า เมื่อดึงหรือถอนออกไปแล้ว 1 ครั้ง จะงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้แค่ไม่เกิน 15-20 ครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง หากเราดึงเส้นผม ถอนผมเส้นนั้นบริเวณเดิมบ่อยๆ ผมก็จะไม่กลับงอกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผมดำหรือว่าผมหงอก ก็ทำให้ผมบางลงไปเรื่อยๆ
2.การลดน้ำหนักเร็วๆ เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้ทำร้ายเส้นผม
หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่องน้ำหนักจะเกี่ยวอะไรกับเส้นผม ในความเป็นจริงแล้วส่งผลถึงกันโดยตรง เวลาที่ร่างกายเราน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจอดอาหาร ออกกำลังอย่างหนัก หรือเพราะเจ็บป่วยไม่สบาย กินไม่ได้นอนไม่หลับจนน้ำหนักลด จะส่งผลทำให้เส้นผมเกิดภาวะโรคผมหลุดร่วงฉับพลัน ซึ่งมักเกิดหลังจากการลดน้ำหนักไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน โดยปริมาณผมร่วงต่อวันของบางคนอาจสูงถึง 200-1,000 เส้น ทำให้ใครที่ยิ่งผมบางอยู่แล้ว เมื่อลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วก็จะยิ่งเกิดผมร่วงผมบางเพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด
ดังนั้น หากต้องการดูแลรักษาเส้นผมไม่ให้บางหลุดร่วง จึงไม่ควรลดน้ำหนักอย่างหักโหม ควรลดอย่างถูกวิธี เน้นการออกกำลังกายมากกว่าการอดอาหาร หรือจะทานวิตามิน ทานโปรตีนเสริมไปด้วยก็ได้ เพราะมีส่วนในการช่วยป้องกันผมร่วงได้ดีขึ้น
3.การสระผมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ทำให้ผมร่วง
เมื่อหนังศีรษะถูกความร้อน ถูกน้ำอุ่น ก็น่าจะทำให้ผมร่วงได้ง่ายมากขึ้น นี่คือความเชื่อของคนส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริง น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนไม่ได้ทำให้ผมร่วง แต่ทำให้ผมแห้งได้
สำหรับอาการผมร่วงนั้น แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากภายในมากกว่า เช่น ร่างกายขาดสารอาหาร ไม่สบาย ป่วย น้ำหนักลดเร็วเกินไป ขาดวิตามิน สำหรับความร้อนที่มีผลต่อเส้นผมนั้นจะเป็นไปในทางทำให้ผมแห้งเสีย มีรังแค และชี้ฟูมากกว่า ซึ่งก็ไม่เพียงแค่กับน้ำร้อน แต่เวลาที่เราใช้ไดร์เป่าผม ใช้ลมร้อนในการเป่าจัดทรงผมนั้น ก็ทำให้เกิดผลเสียกับผมได้
4.การสระผมบ่อยๆ ทำให้ผมร่วง
ยิ่งสระผมบ่อยผม ก็ยิ่งร่วงได้ง่ายได้เยอะมากขึ้น เพราะเวลาสระเราต้องขยี้หนังศีรษะ แต่ในความเป็นจริง การสระผมบ่อยๆ ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ผมร่วง ผมคนเราร่วงเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้สระก็ร่วงอยู่ดี ดังนั้น การหลีกเลี่ยงไม่สระผมเท่าที่จำเป็น จึงเป็นการทำให้หนังศีรษะสกปรก และส่งผลเสียต่อเส้นผมมากกว่า
ทั้งนี้ หากถามว่าเราควรสระผมบ่อยแค่ไหน ก็ต้องพิจารณาตามสภาพหนังศีรษะ หากเป็นคนที่มีหนังศีรษะมัน ควรสระเป็นประจำ อาจสระทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้ แต่ถ้าหนังศีรษะแห้ง 2-3 วันต่อครั้ง หรือสระสัปดาห์ละครั้งก็ไม่มีปัญหา
5.ผมบาง-หัวล้าน ไม่เกี่ยวกับพันธุกรรม
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าที่ผมร่วง ผมบาง หัวล้าน เป็นสาเหตุมาจากการดูแลเส้นผมที่ไม่ดีล้วนๆ แต่ในความเป็นจริง คนเรามีโอกาสผมบาง หัวล้านได้เช่นกัน เพราะโรคผมบาง หรือโรคหัวล้าน เป็นโรคที่มีผลมาจากพันธุกรรม โดยถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่ มีปัญหาผมบางที่เกิดจากพันธุกรรม เราที่เป็นลูกก็จะมีความเสี่ยงผมบางหรือหัวล้านจากพันธุกรรมได้สูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์เพราะยีนส์ที่ทำให้หัวล้านนั้นเป็นยีนส์เด่น
ปัญหาเส้นผม เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าอะไรคือสาเหตุของการทำให้ผมร่วง ผมบาง และผมเสีย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราดูแลเส้นผมได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสำหรับปัญหาผมร่วงจะเกิดจากสาเหตุภายในและพันธุกรรมเป็นหลัก
นอกจากการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีคุณภาพแล้ว การใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการนอนหลับพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงก็มีส่วนอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้ว หากเราดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง ก็จะมีส่วนทำให้เส้นผมของเราแข็งแรงและสุขภาพดีตามไปด้วย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4725389/
ใครเป็นบ้าง!เส้นเลือดฝอยในตาแตก…อยากรู้อันตรายไหมอ่านเลย
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม... มีวิธีรักษาอย่างไร
วันนี้ “เดลินิวส์” ได้นำบทความ จากเพจ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่พูดถึงการการพบจุดแดงหรือรอยเลือดคล้ายเส้นเลือดฝอยแตกในดวงตาอาจสร้างความกังวลว่า เป็นอาการร้ายแรงหรือไม่ ถ้าเส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายมากไหม? บทความนี้พามาดูว่าอาการแบบไหนที่ควรกังวลและรีบพบแพทย์ พร้อมวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและแนวทางป้องกันที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว
ลักษณะเส้นเลือดฝอยในตาแตก คือการมีจุดแดงบริเวณตาขาวเกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาแตก มักไม่ทำให้เจ็บปวดหรือมีผลต่อการมองเห็น บางรายอาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
สาเหตุของเส้นเลือดฝอยในตาแตก มักเกิดจากแรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอ จาม ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูง การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย
การรักษาและการดูแลตัวเอง มักไม่จำเป็นต้องรักษาเพราะหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ระหว่างรอหายให้ประคบเย็นบริเวณตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ให้ดวงตาพักผ่อน หรือใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง
อาการที่ควรพบแพทย์ คือเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตกไม่หายภายใน 2 – 3 สัปดาห์ มีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? เป็นสัญญาณของโรคอะไร
โดยปกติแล้ว เส้นเลือดฝอยในตาแตกเพียงครั้งคราวมักไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจเช็ก เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ โรคเบาหวาน หรือผลจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งล้วนส่งผลต่อหลอดเลือดในร่างกายรวมถึงที่ดวงตา
ดังนั้น หากพบว่ามีอาการนี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การป้องกันเส้นเลือดฝอยในตาแตก
การดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยจากบาดเจ็บเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดฝอยในตาแตก เริ่มจากการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ไอหรือจามรุนแรง และการยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งหมั่นพักสายตาด้วยสูตร 20-20-20 เมื่อต้องจ้องจอนาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี
คำแนะนำในการดูแลตัวเองเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตก หากคุณมีอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้
ให้ดวงตาได้พักผ่อนและหลีกเลี่ยงการเพ่งสายตามากเกินไป
ใช้ผ้าเย็นประคบเบาๆ เพื่อลดอาการอักเสบหรืออาการบวมที่อาจเกิดขึ้น
ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
อาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกแบบไหนที่ควรพบแพทย์
หากเส้นเลือดฝอยที่แตกในตาไม่หายภายใน 2 – 3 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีปัญหาสายตา มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาโดยเร็ว บางรายอาจจำเป็นต้องปรึกษาจักษุแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม โดยเฉพาะในกรณีที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บบริเวณช่องลูกตาหรือจอประสาทตา
สรุป
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอาจสร้างความกังวลให้กับผู้พบเห็น แม้ในหลายกรณีจะไม่ใช่อันตรายร้ายแรง แต่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหากพบบ่อยครั้งหรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว ปวดตารุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือความผิดปกติของหลอดเลือด การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพตาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4721346/
แก้ 5 ความเชื่อผิดเรื่อง ‘ผมร่วง’ ก่อนสายเกินไป และ ใครเป็นบ้าง!เส้นเลือดฝอยในตาแตก
ปัญหาเส้นผม เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าอะไรคือสาเหตุของการทำให้ผมร่วง ผมบาง และผมเสีย จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เส้นผมเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ขณะที่อาการผมร่วงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเช่นเดียวกัน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ
เกร็ดความรู้จาก “โรงพยาบาลพญาไท 3” บอกเล่าสาระดีๆเกี่ยวกับเรื่องผมร่วง ว่า แม้หลายคนจะพยายามดูแลเส้นผมของตัวเองเป็นอย่างดี ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง เพราะยังมีความเข้าใจผิดในหลายเรื่อง โดยมีความเชื่อหลายเรื่องเกี่ยวกับ “ผม” ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด และควรทำความเข้าใจใหม่ เพื่อให้การดูแลเส้นผมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5 ความเชื่อผิดๆเรื่องผมร่วง
1.ดึงผมหรือถอนผมหงอก เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำให้ผมร่วงผมบาง
เวลามีผมหงอก มีผมเสียเกิดขึ้น เรามักจะชอบดึงหรือถอนออก ไม่ปล่อยให้เป็นแกะดำอยู่บนศีรษะจนเสียบุคลิก และมักคิดกันว่าเดี๋ยวผมก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริง คือการดึงผมหรือถอนผมหงอก มีส่วนทำให้ผมร่วงผมบางได้มากขึ้น เพราะเส้นผมของคนเรามีอายุขัยประมาณ 15-20 ชีวิต หมายความว่า เมื่อดึงหรือถอนออกไปแล้ว 1 ครั้ง จะงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้แค่ไม่เกิน 15-20 ครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง หากเราดึงเส้นผม ถอนผมเส้นนั้นบริเวณเดิมบ่อยๆ ผมก็จะไม่กลับงอกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผมดำหรือว่าผมหงอก ก็ทำให้ผมบางลงไปเรื่อยๆ
2.การลดน้ำหนักเร็วๆ เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้ทำร้ายเส้นผม
หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่องน้ำหนักจะเกี่ยวอะไรกับเส้นผม ในความเป็นจริงแล้วส่งผลถึงกันโดยตรง เวลาที่ร่างกายเราน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจอดอาหาร ออกกำลังอย่างหนัก หรือเพราะเจ็บป่วยไม่สบาย กินไม่ได้นอนไม่หลับจนน้ำหนักลด จะส่งผลทำให้เส้นผมเกิดภาวะโรคผมหลุดร่วงฉับพลัน ซึ่งมักเกิดหลังจากการลดน้ำหนักไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน โดยปริมาณผมร่วงต่อวันของบางคนอาจสูงถึง 200-1,000 เส้น ทำให้ใครที่ยิ่งผมบางอยู่แล้ว เมื่อลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วก็จะยิ่งเกิดผมร่วงผมบางเพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด
ดังนั้น หากต้องการดูแลรักษาเส้นผมไม่ให้บางหลุดร่วง จึงไม่ควรลดน้ำหนักอย่างหักโหม ควรลดอย่างถูกวิธี เน้นการออกกำลังกายมากกว่าการอดอาหาร หรือจะทานวิตามิน ทานโปรตีนเสริมไปด้วยก็ได้ เพราะมีส่วนในการช่วยป้องกันผมร่วงได้ดีขึ้น
3.การสระผมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ทำให้ผมร่วง
เมื่อหนังศีรษะถูกความร้อน ถูกน้ำอุ่น ก็น่าจะทำให้ผมร่วงได้ง่ายมากขึ้น นี่คือความเชื่อของคนส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริง น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนไม่ได้ทำให้ผมร่วง แต่ทำให้ผมแห้งได้
สำหรับอาการผมร่วงนั้น แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากภายในมากกว่า เช่น ร่างกายขาดสารอาหาร ไม่สบาย ป่วย น้ำหนักลดเร็วเกินไป ขาดวิตามิน สำหรับความร้อนที่มีผลต่อเส้นผมนั้นจะเป็นไปในทางทำให้ผมแห้งเสีย มีรังแค และชี้ฟูมากกว่า ซึ่งก็ไม่เพียงแค่กับน้ำร้อน แต่เวลาที่เราใช้ไดร์เป่าผม ใช้ลมร้อนในการเป่าจัดทรงผมนั้น ก็ทำให้เกิดผลเสียกับผมได้
4.การสระผมบ่อยๆ ทำให้ผมร่วง
ยิ่งสระผมบ่อยผม ก็ยิ่งร่วงได้ง่ายได้เยอะมากขึ้น เพราะเวลาสระเราต้องขยี้หนังศีรษะ แต่ในความเป็นจริง การสระผมบ่อยๆ ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ผมร่วง ผมคนเราร่วงเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้สระก็ร่วงอยู่ดี ดังนั้น การหลีกเลี่ยงไม่สระผมเท่าที่จำเป็น จึงเป็นการทำให้หนังศีรษะสกปรก และส่งผลเสียต่อเส้นผมมากกว่า
ทั้งนี้ หากถามว่าเราควรสระผมบ่อยแค่ไหน ก็ต้องพิจารณาตามสภาพหนังศีรษะ หากเป็นคนที่มีหนังศีรษะมัน ควรสระเป็นประจำ อาจสระทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้ แต่ถ้าหนังศีรษะแห้ง 2-3 วันต่อครั้ง หรือสระสัปดาห์ละครั้งก็ไม่มีปัญหา
5.ผมบาง-หัวล้าน ไม่เกี่ยวกับพันธุกรรม
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าที่ผมร่วง ผมบาง หัวล้าน เป็นสาเหตุมาจากการดูแลเส้นผมที่ไม่ดีล้วนๆ แต่ในความเป็นจริง คนเรามีโอกาสผมบาง หัวล้านได้เช่นกัน เพราะโรคผมบาง หรือโรคหัวล้าน เป็นโรคที่มีผลมาจากพันธุกรรม โดยถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่ มีปัญหาผมบางที่เกิดจากพันธุกรรม เราที่เป็นลูกก็จะมีความเสี่ยงผมบางหรือหัวล้านจากพันธุกรรมได้สูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์เพราะยีนส์ที่ทำให้หัวล้านนั้นเป็นยีนส์เด่น
ปัญหาเส้นผม เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าอะไรคือสาเหตุของการทำให้ผมร่วง ผมบาง และผมเสีย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราดูแลเส้นผมได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสำหรับปัญหาผมร่วงจะเกิดจากสาเหตุภายในและพันธุกรรมเป็นหลัก
นอกจากการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีคุณภาพแล้ว การใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการนอนหลับพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงก็มีส่วนอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้ว หากเราดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง ก็จะมีส่วนทำให้เส้นผมของเราแข็งแรงและสุขภาพดีตามไปด้วย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4725389/
ใครเป็นบ้าง!เส้นเลือดฝอยในตาแตก…อยากรู้อันตรายไหมอ่านเลย
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม... มีวิธีรักษาอย่างไร
วันนี้ “เดลินิวส์” ได้นำบทความ จากเพจ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่พูดถึงการการพบจุดแดงหรือรอยเลือดคล้ายเส้นเลือดฝอยแตกในดวงตาอาจสร้างความกังวลว่า เป็นอาการร้ายแรงหรือไม่ ถ้าเส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายมากไหม? บทความนี้พามาดูว่าอาการแบบไหนที่ควรกังวลและรีบพบแพทย์ พร้อมวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและแนวทางป้องกันที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว
ลักษณะเส้นเลือดฝอยในตาแตก คือการมีจุดแดงบริเวณตาขาวเกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาแตก มักไม่ทำให้เจ็บปวดหรือมีผลต่อการมองเห็น บางรายอาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
สาเหตุของเส้นเลือดฝอยในตาแตก มักเกิดจากแรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอ จาม ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูง การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย
การรักษาและการดูแลตัวเอง มักไม่จำเป็นต้องรักษาเพราะหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ระหว่างรอหายให้ประคบเย็นบริเวณตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ให้ดวงตาพักผ่อน หรือใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง
อาการที่ควรพบแพทย์ คือเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตกไม่หายภายใน 2 – 3 สัปดาห์ มีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? เป็นสัญญาณของโรคอะไร
โดยปกติแล้ว เส้นเลือดฝอยในตาแตกเพียงครั้งคราวมักไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจเช็ก เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ โรคเบาหวาน หรือผลจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งล้วนส่งผลต่อหลอดเลือดในร่างกายรวมถึงที่ดวงตา
ดังนั้น หากพบว่ามีอาการนี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การป้องกันเส้นเลือดฝอยในตาแตก
การดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยจากบาดเจ็บเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดฝอยในตาแตก เริ่มจากการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ไอหรือจามรุนแรง และการยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งหมั่นพักสายตาด้วยสูตร 20-20-20 เมื่อต้องจ้องจอนาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี
คำแนะนำในการดูแลตัวเองเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตก หากคุณมีอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้
ให้ดวงตาได้พักผ่อนและหลีกเลี่ยงการเพ่งสายตามากเกินไป
ใช้ผ้าเย็นประคบเบาๆ เพื่อลดอาการอักเสบหรืออาการบวมที่อาจเกิดขึ้น
ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
อาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกแบบไหนที่ควรพบแพทย์
หากเส้นเลือดฝอยที่แตกในตาไม่หายภายใน 2 – 3 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีปัญหาสายตา มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาโดยเร็ว บางรายอาจจำเป็นต้องปรึกษาจักษุแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม โดยเฉพาะในกรณีที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บบริเวณช่องลูกตาหรือจอประสาทตา
สรุป
เส้นเลือดฝอยในตาแตกอาจสร้างความกังวลให้กับผู้พบเห็น แม้ในหลายกรณีจะไม่ใช่อันตรายร้ายแรง แต่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหากพบบ่อยครั้งหรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว ปวดตารุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือความผิดปกติของหลอดเลือด การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพตาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4721346/