BDMS ส่งเสริมการฉีด BDMS แนะประโยชน์ของ ‘วัคซีน’ ที่แต่ละวัยควรฉีด โดยเฉพาะ เด็กและสูงวัย ย้ำ ‘ป้องกัน’ ทั้งบุคคลและลดค่าใช้จ่ายระยะยาวต่อครอบครัวและประเทศ
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS แถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันด้วยการเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้ดียิ่งขึ้น ภายใต้ชื่อ “BDMS PREVENTIVE VACCINE” ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับประเด็นการฉีด ‘วัคซีน’ ในการเสวนาหัวข้อ ‘บทบาทของวัคซีนกับการป้องกันโรคติดเชื้อในปัจจุบัน’ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ณ BDMS Connect Center ถนนวิทยุ
ฉีดวัคซีนอะไรถึงจะเหมาะกับตัวเอง?
“โรคติดเชื้อ” เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกอวัยวะของร่างกาย ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บป่วยรุนแรง และการดื้อยาของเชื้อโรคได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันไม่ให้โรคติดเชื้อรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้
นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กล่าวว่า การติดในปัจจุบันมีการติดเชื้อหลายประเภท และมีวัคซีนกว่า 20 ชนิดที่สามารถลดการติดเชื้อหรือไม่ให้ติดเชื้อรุนแรงได้ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงวัย
“ข้อดีของการฉีดวัคซีนคือลดอุบัติการณ์ความรุนแรงของโรค ส่วนในประดับประเทศก็คือสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดการติดเชื้อ ลดภาระค่าใช้จ่ายการดูแลผู้ป่วย และช่วยเศรษฐกิจของประเทศได้”
ทั้งนี้ การเลือกวัคซีนมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่
1. อายุ เพราะโรคติดเชื้อบางชนิดมีอาการรุนแรงเฉพาะกับเด็ก หรือเฉพาะกับสูงวัยเท่านั้น
สำรับเด็ก วัคซีนที่ควรฉีดได้แก่ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก
สำหรับผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ได้แก่ ตับอักเสบ HPV ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ปอดอักเสบ และเฉพาะสูงวัยที่ต้องฉีด งูสวัด
2. โรคประจำตัว ต้องสำรวจโดยเฉพาะผู้สูงอายุว่ามีโรคเบาหวาน รับประทานยาอื่นๆ ร่วมหรือไม่ ซึ่งคนกลุ่มที่มีโรคประจำตัดจะจำเป็นต่อการฉีดวัคซีนมากกว่า
3. สภาวะการณ์การแพร่ระบาด หากช่วงนี้เกิดการระบาดหนักก็จำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนป้องกัน เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ หรือปอดอักเสบ แต่อย่างโรคไข้สมองอักเสบ คนที่อาศัยในเมืองอาจไม่จำเป็นต้องฉีดเป็นต้น
สูงวัย ทำไมต้องฉีด ‘งูสวัด’
ทั้งนี้ นพ.อนันตศักดิ์ ได้ตอบคำถามถึงประเด็นเรื่องการฉีดวัคซีนงูสวัดในผู้สูงอายุ โดยกล่าวว่า โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกิดเมื่อภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอ ในกลุ่มของคนที่อายุน้อยจะเกิดแต่อาการไม่หนักและสามารถหายไปเองได้ แต่ในกรณีของสูงวัยซึ่งมีภูมิต้านทานน้อยลง บางคนมีโรคประจำตัวอย่างอื่น งูสวัดจะสามารถเกิดขึ้นได้กับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมากและอาการจะรุนแรง จนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนสูง
อาการที่สำคัญ ได้แก่ การปวดแสบปวดร้อน จนทำให้คุณภาพชีวิตไม่ดี และสามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อ จนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดได้ซึ่งอันตรายถึงชีวิต บางคนเป็นงูสวัดบริเวณใกล้ดวงตา ก็มีโอกาสที่จะทำให้ตาบอดได้เช่นกัน
“ การฉีดวัคซีนงูสวัดในกลุ่มผู้สูงวัย พิสูจน์แล้วว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อ และโรคแทรกซ้อนได้ถึง 90%”
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนงูสวัดเหมาะกับกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรืออายุต่ำกว่า 50 ปีแต่มีโรคประจำตัว ซึ่งต้องได้รับการฉีด 2 เข็ม
อัปเดตเด็กเล็กควรฉีดวัคซีนอะไรบ้าง นอกจากวัคซีนพื้นฐาน
นพ.วสุ กำชัยเสถียร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่ารัฐบาลได้ให้วัคซีนพื้นฐานแก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด แต่ปัจจุบันมีกลุ่มวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม ได้แก่
โรคไวรัสโรต้า เชื้อไวรัสนี้เข้าไปในระบบทางเดินอาหารแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการอุจจาระร่วงรุนแรงได้ ซึ่งพบมากในเด็กเล็กและมีอาการรุนแรงกว่าเด็กโต
โรคไข้เลือดออก สามารถฉีดได้ตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป
โรคมือเท้าปาก แม้ว่าโดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรง แต่กรณีที่เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรง สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ก้านสมองอักเสบ หัวใจอักเสบ น้ำท่วมปอด จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปสำหรับโรค RSV ซึ่งจากข้อมูลสามารถลดการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคได้ดี
แคมเปญ BDMS PREVENTIVE VACCINE ให้สามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนในทุกวัย
ในการนี้ BDMS แถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ “BDMS PREVENTIVE VACCINE” ร่วมกับบริษัทประชันชีวิตชั้นนำ เพื่อสนับสนุนแนวด้านด้านสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าในการเข้ารับวัคซีน การใช้เครดิตวัคซีนในกลุ่มพนักงาน และการขยายเครือข่ายบริการทางการแพทย์ โดยคาดว่าจะมีผู้รับบริการวัคซีนมากกว่า 36,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพสามารถแสดงหลักฐานเพื่อเข้ารับบริการในราคาพิเศษได้ ณ โรงพยาบาลเครือ BDMS ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2568
นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกดั (มหาชน) ได้กล่าวถึงโครงการในครั้งนี้ว่า การรณรงค์การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค จะช่วยบริหารจัดการต้นทุนค่ารักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเอื้อประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ทั้งผู้เอาประกัน สถานพยาบาล และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
“การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเป็นหัวใจของการดูแลระบบสุขภาพที่ยั่งยืน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของบุคคล ของประเทศชาติ และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย”
ไขความลับวันแดงเดือด! ประจำเดือนมาน้อยบ่อยๆ ร่างกายกำลังส่งสัญญาณอะไร?
“ลุงป้าพาเพลิน” เพจสายความรู้ ออกโรงเตือน! ประจำเดือนมาน้อยลงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสมอไป เพราะบางครั้งร่างกายอาจกำลังส่งสัญญาณบางอย่าง ที่คุณควรรีบฟังให้ดี
เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 68 แฟนเพจ ลุงป้าพาเพลิน ได้โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “ประจำเดือน” หรือที่หลายคนคุ้นกับคำว่า “วันแดงเดือด” พร้อมไขข้อสงสัยว่า ทำไมบางคนมีประจำเดือนน้อยลงเรื่อยๆ และนั่นอาจไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของสุขภาพได้ แล้วปริมาณประจำเดือนเท่าไรถึงถือว่า “ปกติ”
นอกจากนี้ ทำไมผู้หญิงบางคน “ประจำเดือน” ยิ่งมาน้อยลงเรื่อยๆ เช็กเลย นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพคุณ
ปริมาณประจำเดือนเท่าไหร่ถึงเรียกว่าปกติ
– โดยเฉลี่ยในรอบเดือนควรมีเลือดไหลประมาณ 50-80 ml
– หากประจำเดือนหมดภายใน 3 วัน ใช้ผ้าอนามัยไม่เต็มแผ่น หรือเปลี่ยนเกิน 3 ชม.โดยยังแห้งอยู่ อาจเข้าข่าย “เลือดมาน้อยผิดปกติ”
อีกทั้ง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้ประจำเดือนมาน้อย (ตามศาสตร์จีน)
1. เลือดพร่อง (เลือดน้อย)
– ประจำเดือนสีอ่อน จาง ใส
– มักมีอาการเหนื่อยง่าย หน้าซีด มือเท้าเย็น
– วิธีดูแล คือ เน้นบำรุงม้ามและกระเพาะ เช่น ข้าวฟ่าง, พุทราแดง, ซุปไก่ตุ๋นกับสมุนไพรจีน
2. ไตพร่อง (พลังชีวิตต่ำ)
– สีเลือดคล้ำ รอบเดือนเลื่อนได้
– ปวดเอว ปวดขา ความจำแย่
– วิธีดูแล คือ เน้นกินของสีดำ เช่น ถั่วดำ งาดำ, น้ำต้มสมุนไพร “โกจิเบอร์รี+เก๋ากี้+รากหม่อน”
3. ความชื้นสะสมในร่างกาย
– เลือดเหนียว ขุ่น ปริมาณน้อย
– ตัวบวม ลิ้นหนา อ่อนเพลีย
– วิธีดูแล คือ งดของมัน หวาน เย็น, กินข้าวแดงต้มถั่วแดง + ฟักทอง + ขิง
4. เลือดติดขัด (พลังงานไหลเวียนไม่ดี)
– สีเลือดเข้ม มีลิ่ม ปวดท้องตอนมีประจำเดือน
– หงุดหงิดง่าย หน้าไม่ใส
– วิธีดูแล คือ กิน “ไข่ตุ๋นสมุนไพรจีน” (ตังกุย, ขิงแห้ง, พุทรา, โกจิ) หรือดื่มชากุหลาบ+มะลิ
อย่างไรก็ตาม เคล็ดลับช่วยฟื้นฟูประจำเดือนให้กลับมาเป็นปกติ มีดังต่อไปนี้
1. นอนก่อน 5 ทุ่ม
2. หลีกเลี่ยงของเย็น อาหารหวานจัด
3. แช่เท้าทุกวันด้วยสมุนไพร
4. งดออกกำลังกายหนัก แต่ให้เคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น โยคะ ตีเส้นลมปราณ
5. อารมณ์ดี คือ ร่างกายดี อย่าลืมจัดการความเครียด...
BDMS แนะ ‘วัคซีน’ ที่แต่ละวัยควรฉีดเพื่อ ‘ป้องกัน’ ก่อนสาย และ ไขความลับวันแดงเดือด! ประจำเดือนมาน้อย