[CR] ์No.155 Jenny, I Love You (2568) : รอวัน ฉันลักเธอ


- โดยรวมชอบในสิ่งที่นำเสนอ แม้ระหว่างดูสัมผัสได้ถึงการจงใจใส่ความหลากหลายที่ปนอยู่ในความเป็นอีสานไทบ้านทุกอิริยาบถนอกเหนือจากที่อ่านเรื่องย่อจนผมทั้งเอ๊ะและว้าวกับการที่หนังไม่เผยไต๋สำคัญทั้งหมดว่าจะมา Feel นี้  ซึ่งการไม่ปากสว่างทั้งหมดชทำให้ผมลุ้นหน้างานด้วยความตื่นเต้นทันทีหลังจากเพิ่งเปิดตัวด้วยฉากดาวหลายล้านกระพริบในจักรวาลอันไกลโพ้นราวกับหนัง Sci-Fi ที่ผมงงไปดอกแรกว่ามันเกี่ยวยังไงกับสิ่งที่กำลังจะนำเสนอผ่านตัวเจนนี่ที่กำลังขับรถไปไหนสักแห่งหลังจากนี้

- ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีอารมณ์ตามที่แยกค่าไว้ข้างต้นคือ ช่วงแรกจะมา way ดราม่าสะท้อนปัญหาสังคมผ่านชีวิตของ Jenny จากเด็กสาวบ้านนามาเป็นสาว MC ก่อนจะขยับมาเป็นนักร้องกลางคืนแล้วจู่ ๆ  Twist ไปโหมด Slasher กลางฟ้าผ่าจนคิดถึงเรื่อง Revenge (2017) ขึ้นมาในช่วงหลังก่อนจะเลี้ยวหักศอกไป way สายลับจนมึนอีกยกว่ามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ ? ขณะเดียวกันจะมีกลิ่นความเป็น Erotic ผสมหนังอินดี้ที่มีการรอบรับเหตุผลในแง่ความคิดและการกระทำของตัวละครให้คิดตามอยู่เป็นระยะเลยดูง่าย ค่อนข้างกระชับ และ ไม่รู้สึกน่าเบื่อถึงขั้นวูบหลับ


- ประเด็นที่แกะได้หนักหนาเอาเรื่อง อาทิเช่น ปัญหาความยากจนในครอบครัวชนบท , ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่รวยกระจุกจนกระจุยจนเป็นเรื่องปกติ , สังคมชายเป็นใหญ่ที่ยังมีบทบาททุกสิ่งกระทั่งสิทธิความเป็นคน แม้จะเริ่มเปิดกว้างเรื่องเพศแล้ว ความที่มีนักแสดงไม่เยอะมากแถมได้นักแสดงชื่อดังอย่างพรี่ป๋อง พรี่แท็ค หรือ น้าปู มาร่วมแจมคนละนิดละน้อย ซึ่งทั้งหมดนอกจากทำให้โฟกัสไปที่ตัว Jenny อย่างเต็มที่แล้วยังช่วย Support ให้ปมที่ซุกใต้พรมค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด แม้จะเล่าเรื่องส่วนตัวของ Jenny นานไปหน่อยแถมขยันแสดงความเป็นไทบ้านตลอดเวลาจนรู้สึกมันเกินความพอดีจนเกิดความขัดใจขึ้นในตอนที่ Jenny กำลังสวมบทเป็น Sidney Prescott ถือเคียวไล่เก็บ 3 หน่อที่จับเธอมาเพื่อหวังจะฆ่าฝังดินในป่า แม้ยังขยันแสดงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยการใช้เคียวเป็นสื่อนำความ ที่เข้าใจได้ว่าประยุกต์ได้ร่วมสมัยดี แต่การใส่ Sounds นี่สิที่ทำเอาผมเจ็บหัวขึ้นมาทันทีว่า จะใส่มาทำแมวอะไร ? ถ้าใส่ก็ใส่ให้เข้ากับสถานการณ์หรือไม่ต้องใส่มาก็ได้ไม่มีปัญหา คิดสภาพกำลังหนีโจรกลางป่าอยู่ ๆ อยากเปิดเพลงหมอลำขึ้นมาอย่างนี้ก็ได้เหรอ ? แต่ยังดีที่เหมือนรู้ความในใจผมเลยค่อย ๆ หรี่เสียงลงแล้วปล่อยให้เสพความระทึกต่อจากนั้นอย่างสาแก่ใจเหลือเกิน

- แล้วประเด็นย่อยที่นำเสนอมากลับถูกปัดตกลงข้างทางไปดื้อ ๆ เช่น ตอนที่ Jenny ตามหาควายเลี้ยงที่โรงฆ่าสัตว์ อย่างนี้จะใส่มาทำไม ? ในเมื่อไม่มีการขยายความต่อ ซึ่งมองอีกมุมก็คิดว่าการที่หนังเล่าผ่านตัวละครในมุม First Person แน่นอนว่าไม่ได้เห็นมุมอื่นที่เกิดขึ้นพร้อมกันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ในเมื่อสิ่งที่ Jenny ประสบพบเจอในสภาพสังคมที่อุดมด้วยปัญหาตามที่กล่าวไปในบรรทัดที่ 3 สามารถพบเจอในชีวิตจริง ถึงมีผลกระทบในเชิงจริยธรรมแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ระบบอุปถัมภ์ที่ถูกปลูกฝังขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยการรอคอยหรือความหวัง พอบทสรุปที่ยังไหลลื่นต่อไปได้อีกหลายนาทีทั้งที่หยุดใจไว้ตอนนั้นก็พอใจแล้วมันทำให้ผมคิดถึงตอนที่ Jenny พูดกับเพื่อนสาวว่า กูเกลียดกรุงเทพ ยิ่งสะท้อนถึงความย้อนแย้งกับสิ่งที่พูดไปในสภาพความเป็นจริงที่คนยังมองว่า กรุงเทพ เป็นเมืองสวรรค์ เป็น Runway แห่งการแสวงหาโอกาสก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป ตราบใดที่อำนาจไม่กระจายตัว รัฐเป็นที่พึ่งไม่ได้ เราจะไม่สามารถเชื่อมั่นได้เลยว่าจะหาความมั่นคงในชีวิตจากไหนในดินแดนสาธยายแห่งนี้ ถ้าไม่คว้ามัน

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
ชื่อสินค้า:   Review By EMistique
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่