แม้วันนี้ผู้บริโภคไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่ในวันนี้ตลาดน้ำอัดลมยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บนมูลค่าตลาดและการเติบโตที่สูงกว่าน้ำดื่มบรรจุขวด
โดยในปี 2568 คาดการณ์ ตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 76,900 ล้านบาท มีการเติบโตระหว่างปี 2565-2567 ที่ 11.6% และปี 2567-2572 ที่ 8.0%
.
ส่วนตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดมูลค่า 48,100 ล้านบาท มีการเติบโตระหว่างปี 2565-2567 ที่ 8.4% และปี 2567-2572 ที่ 6.0%
.
มูลค่าและการเติบโตของตลาดน้ำอัดลม ส่วนหนึ่งมาจากอากาศร้อนของประเทศไทย ที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกดื่มน้ำอัดลม ที่มีทั้งความซ่าและความหวานดื่มเพิ่มความสดชื่น ดับกระหายคลายร้อน โดยเฉพาะ Gen Z ซึ่งเป็นผู้บริโภคกลุ่มหลัก
.
ประกอบกับเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ราคาจำหน่ายต่อขวดที่สูงกว่าน้ำดื่มบรรจุขวด และไม่สามารถผลิตดื่มเองได้ ซึ่งแตกต่างจากน้ำดื่มบรรจุขวดที่สามารถติดตั้งเครื่องกรองน้ำทำน้ำดื่มได้ในครัวเรือน
.
สำหรับการแข่งขันของตลาดน้ำอัดลม และน้ำดื่มบรรจุขวดถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง บนความท้าทายรอบด้านด้วยกันทั้งคู่
.
ตลาดน้ำอัดลม แม้จะเป็นตลาดที่มีคู่แข่งเพียงไม่กี่ราย แต่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและรายได้กลับมาให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
.
และในปีนี้ที่ตลาดน้ำอัดลมยังมีคู่แข่งอย่างบิ๊กโคลากลับมาทำตลาดอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากเงียบหายทำตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามานานหลายปี และปีนี้ได้ใช้งบการตลาด 100 ล้านบาท เพื่อขอขึ้นเป็นเบอร์ 3 แซงหน้า Est เบอร์ 3 ในปัจจุบัน
.
ส่วนแบรนด์น้ำอัดลมอื่นๆ ได้อัดแคมเปญการตลาดในแบบฉบับของตัวเอง ช่วงชิงเม็ดเงินจากผู้บริโภคท่ามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอากาศหน้าร้อนไม่ร้อนเท่าปีที่ผ่านมา
.
เช่น ผู้นำตลาดอย่างโค้ก นำแคมเปญส่งโค้กให้...กลับมาทำตลาดอีกครั้ง เพื่อนำชื่อ 180 ชื่อติดบนฉลากข้างขวด และกระป๋อง เพื่อสื่อสารเจาะกลุ่มเป้าหมาย Gen Z ผ่านแนวคิดต้องการให้คนรุ่นใหม่ส่งต่อความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน เพื่อสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นมากขึ้น, การออกรสชาติใหม่ๆ ในรูปแบบซีซันนอล
.
ค่ายเป๊ปซี่มีแผนรีแบรนด์ มิรินด้า และ เซเว่นอัพ ในรอบ 3 ปี เพื่อสร้างความแตกต่างจากน้ำสีคู่แข่งที่อาจจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจและซื้อผิด เป็นต้น
.
นอกจากนี้ในตลาดน้ำอัดลมยังมีความท้าทายจากภาษีน้ำตาล ที่ทำให้ต้นทุนของน้ำอัดลมรสชาติออริจินัลเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณน้ำตาลที่ใช้ จนหันไปโฟกัสตลาดกับน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากภาษีดังกล่าว
.
ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวด เป็นตลาดที่มีคู่แข่งจำนวนมาก ทั้งแบรนด์หลักและแบรนด์ท้องถิ่นจำนวนมากที่ต่างเข้ามาลงเล่นสงครามน้ำดื่มบรรจุขวดเพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกให้กับผู้บริโภค
.
ในตลาดน้ำดื่มแบรนด์แบรนด์หลักได้แข่งขันผ่านแคมเปญการตลาด การใช้พรีเซ็นเตอร์ และอื่นๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เลือกดื่มน้ำดื่มแบรนด์ตัวเอง เนื่องจากตลาดนี้มีผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์มากนัก และเลือกดื่มน้ำจากโปรโมชั่นหน้าตู้แช่ และผู้บริโภคบางกลุ่มตัดสินใจเลือกน้ำดื่ม เพื่อซัพพอร์ตพรีเซ็นเตอร์ที่ชื่นชอบเป็นหลัก
.
เช่นในปีนี้เนสท์เล่ ยังคงนำวงบัสเป็นพรีเซ็นเตอร์ข้างขวด เพื่อเจาะกลุ่มฐานแฟนคลับวงบัสโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เป็นฐานแฟนคลับหลักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
คริสตัล ยังคงตอกย้ำแนวทางตลาดเน้นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์และความรู้สึกกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมุ่งทำการสื่อสารเฉพาะกับคนท้องถิ่นในพื้นที่สร้างยอดจำหน่ายให้เพิ่มขึ้น
.
ในตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดแบรนด์โลคอล แม้จะไม่ได้ทำตลาดเหมือนกับแบรนด์หลัก แต่ด้วยจำนวนคู่แข่งที่เข้าในตลาดอย่างต่อเนื่อง จากการมองเห็นโอกาสที่น่าสนใจบนมาร์จิ้นที่สูง จนเกิดแบรนด์ใหม่ๆ ในตลาดจำนวนมาก และในปีที่ผ่านมามีแบรนด์โลคอลใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดมากกว่า 40-50 แบรนด์เลยทีเดียว
.
อย่างไรก็ดีแม้ตลาดน้ำดื่มจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่มีความท้าทายจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลือกซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดดื่มในบ้าน เป็นการซื้อเครื่องกรองน้ำแทน จากความต้องการลดการใช้พลาสติก และการลดค่าใช้จ่ายจากการน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีราคาสูงกว่า การซื้อเครื่องกรองน้ำ ที่ในวันนี้แบรนด์เครื่องกรองน้ำ เช่นโคเวย์ ได้บุกตลาดในระบบบอกรับสมาชิกที่ทำให้ผู้บริโภคมองกว่าการจ่ายรายเดือนให้กับเครื่องกรองน้ำประหยัดกว่าการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด เป็นต้น
.
แล้วคุณหละ ซื้อน้ำอัดลม หรือน้ำดื่มบรรจุขวดมากกว่ากัน
ที่มา : Marketeer Online
น้ำอัดลมขายดีกว่าน้ำดื่ม