🙏 สวัสดีค่ะพี่ๆชาวพันทิปทุกท่าน
วันนี้เราอยากเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวค่ะ เพราะตอนนี้เรากำลังรู้สึกสับสนและลังเลกับการตัดสินใจบางอย่างในชีวิต เลยอยากขอฟังมุมมองจากพี่ๆที่มีประสบการณ์มากกว่า เผื่อจะช่วยให้เรามองเห็นภาพกว้างขึ้น และเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 26 ปี อยู่ในสถานะว่างงาน เพิ่งลาออกจากงานได้ไม่นาน เราอาศัยอยู่กับครอบครัว 4 คน คือ พ่อ แม่ พี่สาว และตัวเราเอง เราโตมากับครอบครัวเล็ก ๆ นี้มาตลอด จนกระทั่งตอนเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ครอบครัวเราย้ายมาอยู่รวมกับญาติฝ่ายพ่อ โดยสร้างบ้านอยู่บนที่ดินเดียวกัน กลายเป็นครอบครัวใหญ่ มีคนอยู่รวมกันประมาณ 10 คน
ตั้งแต่ช่วงที่ย้ายมา เรารู้สึกว่าไม่ชอบการอยู่ร่วมกันแบบนี้เลย ไม่รู้สึกมีความสุขเลยสักวัน ถึงแม้ว่าเราเป็นคนคุยเก่ง และไม่เคยมีปัญหาตรง ๆ กับญาติ แต่เรารับรู้ได้ตลอดว่าคำพูดและพฤติกรรมบางอย่างของบางคน มันค่อนข้าง Toxic กับใจเรามาก แต่เราก็เลือกเก็บไว้ในใจ
พ่อแม่เราก็เริ่มมีปัญหาทะเลาะกันถี่ขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะแม่ต้องมาเป็นสะใภ้ที่อยู่รวมกับญาติของพ่อเป็นสิบคน พูดตรงๆญาติๆก็ไม่ค่อยดีหรอกค่ะ เสี้ยมสอดเก่ง ปัญหาต่าง ๆ เลยสะสมมาตลอด จนตอนนี้กลายเป็นว่า อยู่บ้านก็ไม่มีความสุข ออกจากบ้านก็ยังรู้สึกอึดอัด
พอเราอยู่ปี 4 เราได้ไปฝึกงานไกล เป็นช่วงเวลาประมาณ 5 เดือนที่มีความสุขที่สุด เพราะได้อยู่หอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบมาก จนรู้สึกเสียดายวันที่ต้องฝึกงานจบ ที่ฝึกงานก็อยากให้เราทำงานต่อ แต่ตอนนั้นแม่โทรมาหาแทบทุกวัน เล่าปัญหาที่บ้านให้ฟัง เราเลยตัดสินใจกลับมาทำงานใกล้บ้านเพราะเป็นห่วงแม่ แต่พอกลับมาก็เหมือนเดิม และหนักขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งคำพูดหยาบคาย คำเสียดสีในบ้าน พอทำงานกะกลางคืน พอกลับมานอนกลางวันก็เจอเสียงดังวุ่นวาย พ่อไปรับ-ส่งเราตอนดึก ๆ ก็ถูกญาติแซะว่าพ่อเอาอกเอาใจลูกเกินไป เราเปิดแอร์นอนก็โดนแขวะ ทั้งที่เราจ่ายค่าไฟเอง
วันหยุดเรามักไปอยู่กับแฟน เพราะรู้สึกสงบกว่า และนอนหลับสนิท จนกระทั่งเราเกิดอุบัติเหตุ ต้องรักษาตัวเป็นเดือน ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง เราเลยตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะอยากเปลี่ยนงานพอดีด้วย
แต่พออยู่บ้าน 100% ก็เครียดหนักกว่าเดิม ถึงแม้จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แต่เสียงทะเลาะระหว่างพ่อแม่ กับคำพูดของญาติที่ชอบยุแยงให้พ่อแม่มีปัญหากันมันก็เลี่ยงไม่ได้ แม่ชอบเล่าให้เราฟังทุกเรื่อง ทำให้เรารู้สึกว่าญาติบางคนก็ชอบเข้ามายุ่งเรื่องในบ้าน เช่น เรื่องงาน เงินเดือน หรือแม้กระทั่งการใช้เงินของลูกหลาน รูปร่างเราที่อ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อน เราเป็นผู้หญิงหุ่นดีค่ะ เพราะเราเกิดอุบัติเหตุ หมอให้พักฟื้น งดการเคลื่อนไหวขา ไม่ได้ออกกำลังกายเลยอวบขึ้นน
ตอนนี้ร่างกายเรากำลังจะฟื้นดีแล้ว เลยคิดว่าจะกลับไปทำงานที่เดิมที่เคยฝึกงาน เพราะอย่างน้อยก็ได้ออกไปเจอโลกข้างนอก แต่ก็ยังห่วงแม่ เพราะแม่ก็ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ และสภาพจิตใจก็แย่มาก แม่อายุมากกว่าพ่อหลายปี แม่เคยพูดว่าอยากแยกทางกับพ่อ แต่ไม่มีที่ไป เพราะเอาเงินเก็บทั้งหมดมาสร้างบ้านหลังนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็โอนบ้านเป็นชื่อเรานะคะ
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ยังมากดดันเราให้แต่งงานกับแฟน เพราะอยากได้เงินค่าสินสอด ซึ่งเรารู้สึกอึดอัดมาก เพราะเรากับแฟนยังเด็ก ยังไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์จะไปได้ไกลแค่ไหน
แม่บอกให้ไปเอาสินสอดจากพ่อแม่ฝ่ายชาย แล้วเรียกจำนวนถึง 7 หลัก หรืออย่างน้อยก็ 6 หลักปลาย ๆ พอเราถามว่าถ้าเป็นแค่แสนต้น ๆ ได้ไหม แม่ก็พูดจาส่อเสียด เช่น “ถ้าได้น้อยคือกระจอกมาก” หรือ “2-3 แสนคืองานแต่งเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว” และยังบอกว่า “จะอายเพื่อนแม่ตาย”
ตอนนี้เราเลยรู้สึกแย่มาก ไม่อยากคุยกับพ่อแม่หรือญาติเลย รู้สึกว่าไม่มีที่ให้พักใจ ไม่มีที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกอึดอัดมากในทุกด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องบ้าน เรื่องอนาคต ตอนนี้เราคิดเรื่องย้ายออกจากบ้านอยู่ เพราะเราอยากมีพื้นที่สงบให้ตัวเอง ได้ไปเริ่มต้นใหม่ กลับไปอยู่ที่ที่เคยฝึกงาน หรืออาจจะเช่าคอนโดอยู่เอง เรารู้ตัวว่า “พร้อมจะออกไป” มาก ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ อยากได้ชีวิตที่สงบ ได้พัก ได้เป็นตัวเองจริง ๆ สักที
แต่ในขณะเดียวกัน ลึก ๆ ในใจก็มีความลังเล เรากลัวว่า ถ้าเราออกไปตอนนี้ เราจะเสียโอกาสในการใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ ช่วงเวลาที่อาจเหลือไม่มากนัก แม่เราตอนนี้ก็อายุ 60 กว่าแล้ว ซึ่งแก่กว่าพ่อหลายปี แต่พ่อเรากลับมีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งเราเองก็ไม่รู้เลยว่าอาการของพ่อจะทรุดเมื่อไหร่
เรากลัวว่าถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ เราจะต้องมาเสียใจทีหลัง ว่าเราเลือกออกไปอยู่ข้างนอก ในเวลาที่เขายังอยู่ แต่เรากลับไม่อยู่ดูแลเขาเลย เราเคยเห็นตัวอย่างความเสียใจแบบนี้กับพ่อแม่เรามาแล้ว ที่ตอนท่านยังหนุ่ม ออกมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ไม่ได้กลับไปหาปู่ย่าตายายบ่อยนัก พอกลับไปอีกที พวกท่านก็จากไปแล้ว พ่อแม่เราเสียใจมาก และเราก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องมาเสียใจแบบนั้นในอนาคต
ตอนนี้เราจึงรู้สึกสับสนมาก ไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหนดี ระหว่าง “เลือกดูแลตัวเอง” หรือ “อยู่ดูแลครอบครัวในช่วงเวลาที่ยังมี” เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็รู้สึกว่าต้องแลกบางอย่างเสมอ
รบกวนพี่ๆด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
การอยากออกไปจากบ้านที่ไม่มีความสุข เป็นเรื่องที่ผิดหรือเห็นแก่ตัวไหม?
วันนี้เราอยากเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวค่ะ เพราะตอนนี้เรากำลังรู้สึกสับสนและลังเลกับการตัดสินใจบางอย่างในชีวิต เลยอยากขอฟังมุมมองจากพี่ๆที่มีประสบการณ์มากกว่า เผื่อจะช่วยให้เรามองเห็นภาพกว้างขึ้น และเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 26 ปี อยู่ในสถานะว่างงาน เพิ่งลาออกจากงานได้ไม่นาน เราอาศัยอยู่กับครอบครัว 4 คน คือ พ่อ แม่ พี่สาว และตัวเราเอง เราโตมากับครอบครัวเล็ก ๆ นี้มาตลอด จนกระทั่งตอนเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ครอบครัวเราย้ายมาอยู่รวมกับญาติฝ่ายพ่อ โดยสร้างบ้านอยู่บนที่ดินเดียวกัน กลายเป็นครอบครัวใหญ่ มีคนอยู่รวมกันประมาณ 10 คน
ตั้งแต่ช่วงที่ย้ายมา เรารู้สึกว่าไม่ชอบการอยู่ร่วมกันแบบนี้เลย ไม่รู้สึกมีความสุขเลยสักวัน ถึงแม้ว่าเราเป็นคนคุยเก่ง และไม่เคยมีปัญหาตรง ๆ กับญาติ แต่เรารับรู้ได้ตลอดว่าคำพูดและพฤติกรรมบางอย่างของบางคน มันค่อนข้าง Toxic กับใจเรามาก แต่เราก็เลือกเก็บไว้ในใจ
พ่อแม่เราก็เริ่มมีปัญหาทะเลาะกันถี่ขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะแม่ต้องมาเป็นสะใภ้ที่อยู่รวมกับญาติของพ่อเป็นสิบคน พูดตรงๆญาติๆก็ไม่ค่อยดีหรอกค่ะ เสี้ยมสอดเก่ง ปัญหาต่าง ๆ เลยสะสมมาตลอด จนตอนนี้กลายเป็นว่า อยู่บ้านก็ไม่มีความสุข ออกจากบ้านก็ยังรู้สึกอึดอัด
พอเราอยู่ปี 4 เราได้ไปฝึกงานไกล เป็นช่วงเวลาประมาณ 5 เดือนที่มีความสุขที่สุด เพราะได้อยู่หอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบมาก จนรู้สึกเสียดายวันที่ต้องฝึกงานจบ ที่ฝึกงานก็อยากให้เราทำงานต่อ แต่ตอนนั้นแม่โทรมาหาแทบทุกวัน เล่าปัญหาที่บ้านให้ฟัง เราเลยตัดสินใจกลับมาทำงานใกล้บ้านเพราะเป็นห่วงแม่ แต่พอกลับมาก็เหมือนเดิม และหนักขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งคำพูดหยาบคาย คำเสียดสีในบ้าน พอทำงานกะกลางคืน พอกลับมานอนกลางวันก็เจอเสียงดังวุ่นวาย พ่อไปรับ-ส่งเราตอนดึก ๆ ก็ถูกญาติแซะว่าพ่อเอาอกเอาใจลูกเกินไป เราเปิดแอร์นอนก็โดนแขวะ ทั้งที่เราจ่ายค่าไฟเอง
วันหยุดเรามักไปอยู่กับแฟน เพราะรู้สึกสงบกว่า และนอนหลับสนิท จนกระทั่งเราเกิดอุบัติเหตุ ต้องรักษาตัวเป็นเดือน ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง เราเลยตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะอยากเปลี่ยนงานพอดีด้วย
แต่พออยู่บ้าน 100% ก็เครียดหนักกว่าเดิม ถึงแม้จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แต่เสียงทะเลาะระหว่างพ่อแม่ กับคำพูดของญาติที่ชอบยุแยงให้พ่อแม่มีปัญหากันมันก็เลี่ยงไม่ได้ แม่ชอบเล่าให้เราฟังทุกเรื่อง ทำให้เรารู้สึกว่าญาติบางคนก็ชอบเข้ามายุ่งเรื่องในบ้าน เช่น เรื่องงาน เงินเดือน หรือแม้กระทั่งการใช้เงินของลูกหลาน รูปร่างเราที่อ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อน เราเป็นผู้หญิงหุ่นดีค่ะ เพราะเราเกิดอุบัติเหตุ หมอให้พักฟื้น งดการเคลื่อนไหวขา ไม่ได้ออกกำลังกายเลยอวบขึ้นน
ตอนนี้ร่างกายเรากำลังจะฟื้นดีแล้ว เลยคิดว่าจะกลับไปทำงานที่เดิมที่เคยฝึกงาน เพราะอย่างน้อยก็ได้ออกไปเจอโลกข้างนอก แต่ก็ยังห่วงแม่ เพราะแม่ก็ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ และสภาพจิตใจก็แย่มาก แม่อายุมากกว่าพ่อหลายปี แม่เคยพูดว่าอยากแยกทางกับพ่อ แต่ไม่มีที่ไป เพราะเอาเงินเก็บทั้งหมดมาสร้างบ้านหลังนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็โอนบ้านเป็นชื่อเรานะคะ
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ยังมากดดันเราให้แต่งงานกับแฟน เพราะอยากได้เงินค่าสินสอด ซึ่งเรารู้สึกอึดอัดมาก เพราะเรากับแฟนยังเด็ก ยังไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์จะไปได้ไกลแค่ไหน
แม่บอกให้ไปเอาสินสอดจากพ่อแม่ฝ่ายชาย แล้วเรียกจำนวนถึง 7 หลัก หรืออย่างน้อยก็ 6 หลักปลาย ๆ พอเราถามว่าถ้าเป็นแค่แสนต้น ๆ ได้ไหม แม่ก็พูดจาส่อเสียด เช่น “ถ้าได้น้อยคือกระจอกมาก” หรือ “2-3 แสนคืองานแต่งเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว” และยังบอกว่า “จะอายเพื่อนแม่ตาย”
ตอนนี้เราเลยรู้สึกแย่มาก ไม่อยากคุยกับพ่อแม่หรือญาติเลย รู้สึกว่าไม่มีที่ให้พักใจ ไม่มีที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกอึดอัดมากในทุกด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องบ้าน เรื่องอนาคต ตอนนี้เราคิดเรื่องย้ายออกจากบ้านอยู่ เพราะเราอยากมีพื้นที่สงบให้ตัวเอง ได้ไปเริ่มต้นใหม่ กลับไปอยู่ที่ที่เคยฝึกงาน หรืออาจจะเช่าคอนโดอยู่เอง เรารู้ตัวว่า “พร้อมจะออกไป” มาก ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ อยากได้ชีวิตที่สงบ ได้พัก ได้เป็นตัวเองจริง ๆ สักที
แต่ในขณะเดียวกัน ลึก ๆ ในใจก็มีความลังเล เรากลัวว่า ถ้าเราออกไปตอนนี้ เราจะเสียโอกาสในการใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ ช่วงเวลาที่อาจเหลือไม่มากนัก แม่เราตอนนี้ก็อายุ 60 กว่าแล้ว ซึ่งแก่กว่าพ่อหลายปี แต่พ่อเรากลับมีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งเราเองก็ไม่รู้เลยว่าอาการของพ่อจะทรุดเมื่อไหร่
เรากลัวว่าถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ เราจะต้องมาเสียใจทีหลัง ว่าเราเลือกออกไปอยู่ข้างนอก ในเวลาที่เขายังอยู่ แต่เรากลับไม่อยู่ดูแลเขาเลย เราเคยเห็นตัวอย่างความเสียใจแบบนี้กับพ่อแม่เรามาแล้ว ที่ตอนท่านยังหนุ่ม ออกมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ไม่ได้กลับไปหาปู่ย่าตายายบ่อยนัก พอกลับไปอีกที พวกท่านก็จากไปแล้ว พ่อแม่เราเสียใจมาก และเราก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องมาเสียใจแบบนั้นในอนาคต
ตอนนี้เราจึงรู้สึกสับสนมาก ไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหนดี ระหว่าง “เลือกดูแลตัวเอง” หรือ “อยู่ดูแลครอบครัวในช่วงเวลาที่ยังมี” เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็รู้สึกว่าต้องแลกบางอย่างเสมอ
รบกวนพี่ๆด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ