สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
เราเคยทำงานบริษัทที่ปิดกิจการ มีความเห็นว่าการมองแค่ตัวเองเสียเปรียบฝ่ายเดียวมันคับแคบไปหน่อย
ไม่ได้เข้าข้างเจ้าของกิจการแต่ว่าตามที่เห็นมาว่ากิจการที่เจ๊งคือมันหนักจริงๆ ช่วงปลายๆ วิกฤตเราเห็นมาแล้วว่าเจ้าของบางคน ยอมผิดนัดชำระคู่ค้า หรือกู้เงินมาเพื่อจ่ายลูกน้อง สุดท้ายไม่ไหวก็ต้องปิด
ถ้านายจ้างคนไหนขวนขวายจ่ายค่าชดเชยทำถูกกฏหมายทุกประการ หากเราไม่มีจิตชื่นชมอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปซ้ำเติมเขา เพราะสุดท้ายทุกคนก็เจ็บกันหมด
พนักงานตกงานวันนี้ พรุ่งนี้ก็ปรินต์เอกสารออกไปเดินหางานใหม่ได้ทันที แต่สำหรับเจ้าของกิจการปิดบริษัทแค่เริ่มต้นของปัญหามากมายที่ต้องสะสางอีกมาก
ไม่ได้เข้าข้างเจ้าของกิจการแต่ว่าตามที่เห็นมาว่ากิจการที่เจ๊งคือมันหนักจริงๆ ช่วงปลายๆ วิกฤตเราเห็นมาแล้วว่าเจ้าของบางคน ยอมผิดนัดชำระคู่ค้า หรือกู้เงินมาเพื่อจ่ายลูกน้อง สุดท้ายไม่ไหวก็ต้องปิด
ถ้านายจ้างคนไหนขวนขวายจ่ายค่าชดเชยทำถูกกฏหมายทุกประการ หากเราไม่มีจิตชื่นชมอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปซ้ำเติมเขา เพราะสุดท้ายทุกคนก็เจ็บกันหมด
พนักงานตกงานวันนี้ พรุ่งนี้ก็ปรินต์เอกสารออกไปเดินหางานใหม่ได้ทันที แต่สำหรับเจ้าของกิจการปิดบริษัทแค่เริ่มต้นของปัญหามากมายที่ต้องสะสางอีกมาก
ความคิดเห็นที่ 7
กฎหมาย ไม่ได้เอื้อฝ่ายใดฝ่ายนึงอยู่แล้ว
มองมุมลูกจ้าง โอ้ย แล้วชั้นจะไปหางานที่ไหน เงินแค่นี้จะไปพออะไร
มองมุมนายจ้าง แค่วันเดียวชั้นก็หมดเป็นล้านแล้ว ถ้าไม่ปิดทันทีจะเอาเงินที่ไหนมาชดเชย
ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดแค่ ถ้าไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ก็ต้องจ่ายชดเชยเท่านั้น เพราะมันเป็นผลดีที่สุดกับทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
มองมุมลูกจ้าง โอ้ย แล้วชั้นจะไปหางานที่ไหน เงินแค่นี้จะไปพออะไร
มองมุมนายจ้าง แค่วันเดียวชั้นก็หมดเป็นล้านแล้ว ถ้าไม่ปิดทันทีจะเอาเงินที่ไหนมาชดเชย
ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดแค่ ถ้าไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ก็ต้องจ่ายชดเชยเท่านั้น เพราะมันเป็นผลดีที่สุดกับทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
ความคิดเห็นที่ 5
โลกมันโหดร้าย
แต่ส่วนตัวคิดว่า บริษัทเค้าก็ทำตามกฎหมายแล้ว ผมว่าก็ถือว่าดีมากแล้ว
เงินชดเชยว่างงานจากประกันสังตมอีก แล้วเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก
มันน่าจะพอในการช่วยประคบชีพได้สักพัก
งานผมว่ามันยังพอหาได้หรืออาชีพอิสระ แต่มันจะถูกใจคุณหรือเปล่าเท่านั้นเอง
คนเก่งมีทักษะ มีความสามารถ รู้จักคิดรู้จักว่าแผน ยังไงก็ไม่อดตาย
แต่ถ้าก่อหนี้ไว้เยอะก็ลำบากแน่นอน
แต่ส่วนตัวคิดว่า บริษัทเค้าก็ทำตามกฎหมายแล้ว ผมว่าก็ถือว่าดีมากแล้ว
เงินชดเชยว่างงานจากประกันสังตมอีก แล้วเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก
มันน่าจะพอในการช่วยประคบชีพได้สักพัก
งานผมว่ามันยังพอหาได้หรืออาชีพอิสระ แต่มันจะถูกใจคุณหรือเปล่าเท่านั้นเอง
คนเก่งมีทักษะ มีความสามารถ รู้จักคิดรู้จักว่าแผน ยังไงก็ไม่อดตาย
แต่ถ้าก่อหนี้ไว้เยอะก็ลำบากแน่นอน

แสดงความคิดเห็น
โรงงานปิดตัวสายฟ้าแลบ! ลูกจ้างนับพันรับชดเชย แต่ “ความคุ้มค่า” อยู่ตรงไหน?
บ่ายวันเดียวกัน ณ ลานจอดรถที่กลายเป็นศูนย์ประชุมกะทันหัน ผู้บริหารขึ้นเวทีแจ้งข่าวว่า บริษัทประสบภาวะขาดทุนสะสมจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่พุ่งสูง ประกอบกับยอดสั่งซื้อที่ลดฮวบในตลาดโลก ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “ลาจากกันด้วยดี”
“ทุกคนจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน” ผู้บริหารกล่าวเสียงสั่น ขณะยื่นซองสีน้ำตาลให้พนักงานทีละราย
ทำให้บางคนถึงกับกอดเพื่อนร่วมงานที่ร่วมฝ่าฟันกันมากว่า 10 ปี บางคนโทรบอกครอบครัว บางคนเงียบเหมือนกับกำลังคิดทบทวนว่าเงินชดเชยก้อนนี้จะพอเลี้ยงชีพไปได้กี่เดือน
เพื่อนเรา วัย 42 ปี เป็นหัวหน้าสายพานประกอบ เล่าทั้งน้ำตาว่า
“เงินชดเชยมันก็พออยู่ได้ช่วงหนึ่ง แต่งานแบบนี้หายากในวัยฉัน ต่อให้ได้เงินมา แล้วต่อไปจะทำอะไรล่ะ…” เราก็ไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไง แต่มันก็จริงวัยนี้หางานยากจริงๆ
และในขณะเดียวกัน บนโลกออนไลน์ก็มีทั้งเสียงเห็นใจและเสียงวิจารณ์ บางคนชื่นชมที่บริษัทไม่ทิ้งลูกจ้างแบบมือเปล่า บางคนกลับตั้งคำถามว่า ทำไมไม่มีมาตรการป้องกันล่วงหน้า ทำไมถึงไม่มีการแจ้งเตือน หรือแม้กระทั่งการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้พนักงานก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
แม้บริษัทจะทำตามกฎหมายทุกอย่าง แต่คำถามคือ... แค่ “ตามกฎหมาย” เพียงพอหรือยัง?
และที่สำคัญกว่านั้น ค่าชดเชยที่ได้รับ มัน “ชดเชยชีวิต” ที่ต้องเริ่มต้นใหม่ได้จริงหรือไม่? ทุกคนมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่าอย่างไรกันบ้าง?