การปฏิรูประบบสาธารณสุขในประเทศไทย

กระทู้สนทนา
บทวิเคราะห์: การเมืองและพัฒนาการระบบประกันสุขภาพไทย

การปฏิรูปประเทศไทยและบทบาทรัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นผลผลิตจากกระบวนการปฏิรูปที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยเน้นโครงสร้างทางการเมืองและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
หนึ่งในแนวทางปฏิรูปที่สำคัญคือ ระบบสาธารณสุข ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในขณะนั้นอย่างชัดเจน

บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2540 กับการวางรากฐานระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า

มาตรา 52, 62 และ 82 กำหนดหน้าที่ของรัฐในการสร้างหลักประกันสุขภาพ
นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เสนอนโยบาย "30 บาทรักษาทุกโรค" และ ถูกปฏิเสธ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย (ที่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2534)  เนื่องจากพบว่าไม่เหมาะสำหรับนำมาใช้ระดับชาติ แม้จะประสบความสำเร็จในท้องถิ่น (นายแพทย์สงวน ผู้คิดระบบเสียชีวิตก่อนวันอันควร เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก และ มีผู้กล่าวว่า เพราะท่านทำงาหนักจเกินกำลังร่างกายจะรับไหว - ไม่มีหลักฐานยืนยัน)

ระบบ 30 บาท : รัฐบาลพรรคไทยรักไทย

พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เป็นกฎหมายสำคัญที่จัดตั้งระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทย โดยมีพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งบัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและทั่วถึง

📄 ชื่อเต็มและลิงก์กฎหมาย

ชื่อเต็ม: พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
ลิงก์เอกสาร: ดาวน์โหลดฉบับเต็ม (PDF) https://nih.dmsc.moph.go.th/law/pdf/031.pdf?utm_source=chatgpt.com

📚 หลักการและเหตุผลของกฎหมาย

พระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามที่กฎหมายบัญญัติ 

⚖️ ความเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 52 กำหนดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ 

นอกจากนี้ มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ยังระบุให้รัฐต้องจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง 

เนื้อหาของมาตรา 62 (รัฐธรรมนูญ 2540)

“บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการจากหน่วยงานของรัฐ และเมื่อได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นมีสิทธิร้องเรียน หรือฟ้องหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้รับผิด เพื่อให้ได้รับความเสียหายตามที่ได้เสียไป”

หลักการสำคัญของมาตรา 62

ประชาชนสามารถฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง หากได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติงานที่มิชอบ
เป็นการรับรองสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน
เป็นการสร้าง หลักธรรมาภิบาล ในระบบราชการ โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อผลจากการกระทำของตน
ทำให้การบริหารราชการ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้

ด้วยเหตุนี้ การออกพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 จึงเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม


การพัฒนาต่อเนื่องของระบบประกันสุขภาพ

นโยบาย "30 บาท" ได้กลายมาเป็น ระบบบัตรทอง ซึ่งมีการปรับปรุงและพัฒนาต่อเนื่องภายใต้ทุกรัฐบาล
ข้อเท็จจริงสำคัญคือ ระบบในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียง "30 บาท" แต่ คือระบบที่พัฒนาแล้ว
การกล่าวหาหรือโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่ให้เครดิตต่อรัฐบาลอื่น ๆ  คือการสร้างความแตกแยกเกลียดชัง ให้คนไทยด้วยกันเอง

1) ต้นแบบ “บัตรทองอนาถา”

ต้นแบบของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเริ่มจากแนวคิด “การให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้ยากไร้”  ก่อนปี 2538 ซึ่งมีการจัดบริการในลักษณะ “สงเคราะห์ผู้ยากจน” ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง จึงเรียกติดปากว่า ‘บัตรอนาถา’ หรือ “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” แบบทดลองในบางจังหวัดก่อนปี 2544


2) รัฐบาลนายกรัฐมนตรีบรรหาร ศิลปอาชา (2538-2539)
•เป็นยุคของ การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (2540-2544)
•จุดเด่นคือ “ประชาชนมีส่วนร่วม” ในการกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศ
•มีเป้าหมายให้ “คนไทยมีสุขภาพดี มีการศึกษาขั้นพื้นฐานครบถ้วน และเข้าถึงบริการพื้นฐานทางสังคม”
•วางรากฐานแนวคิด “สวัสดิการถ้วนหน้า” ต่อมานำไปสู่ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ


3) รัฐธรรมนูญ 2540 – ความเสียหายทางเศรษฐกิจ / ความก้าวหน้าทางโครงสร้าง
•รัฐบาลต้มยำกุ้ง 2539 -2540 กับวิกฤตต้มยำกุ้ง (2540) ซึ่งสร้างความเสียหายเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
•รัฐธรรมนูญ 2540 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนทางโครงสร้าง” ที่สำคัญ ในการเปลี่ยนประเทศไทย หลายประการ กรณีนี้สุขภาพ โดยบัญญัติให้ประชาชนมี สิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพ (มาตรา 52, 62, 82) และวางรากฐานให้เกิด องค์กรอิสระ เช่น สปสช.


4) รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชวน 2
•แม้ นายกฯ ชวน หลีกภัย ไม่รับข้อเสนอระบบ 30 บาทของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เนื่องจากห่วงภาระต่อระบบแพทย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบัน
•แต่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 2 มีบทบาทสำคัญคือการ ออกกฎหมายรองรับองค์กรอิสระในรูป “องค์การมหาชน”
•ส่งผลให้การจัดตั้ง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในรัฐบาลพรรคไทยรักไทยสามารถเกิดขึ้นได้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 หลังจากเข้าทำงานเพียง 1 ปี


5) รัฐบาลพรรคไทยรักไทย (2544–2549)
•เป็นรัฐบาลผลักดันและประกาศใช้ “พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545” อย่างเป็นทางการ
•เริ่มใช้ระบบ “30 บาทรักษาทุกโรค” อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ
•ใช้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ 2540 และกฎหมายลูกที่เตรียมไว้โดยรัฐบาลก่อนหน้า หากต้องจัดทำรัฐธรรมนูญเปักอาจใช้เวลา มากกว่า 1 ปีในรัฐบาล
•ระบบที่สร้างขึ้นไม่ได้เกิดในสุญญากาศ แต่ต่อยอดจากแนวคิดและโครงสร้างทางกฎหมายที่มีอยู่  กฎหมายองค์กรมหาชน ผลงานรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 2 ไม่ได้จัดทำเสร็จในวันเดียวเช่นกันครับ


6) รัฐบาลต่อมา (อภิสิทธิ์ – ยิ่งลักษณ์ – ประยุทธ์)

ทุกรัฐบาล มีบทบาทในการพัฒนาและปรับปรุงระบบบัตรทอง อย่างต่อเนื่อง
•รัฐบาลอภิสิทธิ์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร สปสช. และเพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัว
•รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สนับสนุนการขยายสิทธิให้ผู้สูงอายุและผู้พิการ
•รัฐบาลประยุทธ์ ปรับระบบ Fast Track สำหรับโรคร้ายแรง และเพิ่มสิทธิ เช่น กรณีมะเร็ง


7) ตัวอย่างยุครัฐบาล พลเอก ประยุทธ์: รักษามะเร็ง วงเงิน 10,000 บาท
•ผู้ป่วยมะเร็งได้รับสิทธิเบิกจ่ายสูงสุด 10,000 บาทในการรักษาขั้นต้น
•สปสช. เปิด “Fast Track มะเร็ง” เร่งให้เข้าระบบรักษาเร็วขึ้น
•เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ระบบไม่ได้หยุดอยู่แค่ “30 บาทรักษาทุกโรค” แต่ พัฒนาต่อเนื่อง ตามยุคสมัยและนโยบายรัฐบาลแต่ละชุด

ตัวอย่าง สิทธิรักษาโรคมะเร็ง ภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ปรับปรุงในยุครัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ ยืนยันว่าทุกรัฐบาลมีบทบาทในการพัฒนาระบบประกันสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อประชาชน

ตัวอย่าง: โครงการ “กองทุนรักษามะเร็ง เบิกได้ 10,000 บาท”

ปีที่ประกาศใช้: ช่วงปี 2563-2564
รัฐบาล: พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผู้ดำเนินการ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

รายละเอียด

ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่มีสิทธิบัตรทอง สามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ
วงเงินเบิกจ่ายต่อรายสูงสุด 10,000 บาท สำหรับบางรายการ เช่น ค่าตรวจวินิจฉัย ค่าขนส่ง ค่าพักรักษาตัวระยะเริ่มต้น
มีการจัด ระบบ “Fast Track มะเร็ง” ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าระบบการรักษาได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวยาว
เน้นการตรวจคัดกรองเชิงรุก เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม

ผลกระทบเชิงบวก

ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการรักษามะเร็ง
ลดการเสียชีวิตจากการเข้ารักษาช้า

ข้อสรุป

ระบบ บัตรทอง หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ต้นแบบ บัตรทองอนาถา

- ผ่านกฎหมายลูกยุครัฐธรรมนูญ 2540 - เริ่มใช้จริงในรัฐบาลไทยรักไทย - และปรับปรุงเรื่อยมาในรัฐบาลต่อๆ มา เช่น ยุคอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ และ ประยุทธ์

จึงไม่ควรเคลมว่าเป็นผลงานของรัฐบาลใดเพียงฝ่ายเดียว แต่ควรให้เครดิตกับ ทุกภาคส่วน ที่ร่วมพัฒนาระบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักวิชาการ ข้าราชการ องค์กรอิสระ และประชาชนที่ผลักดันสิทธิของตน



ความขัดแย้งทางการเมืองที่สืบเนื่องจากการเคลมผลงาน

การเมืองไทยหลังปี 2545 เริ่มมีความแตกแยกชัดเจน ส่วนหนึ่งมาจากการอ้างความชอบธรรมในนโยบายสาธารณะ เช่น ระบบประกันสุขภาพ
การเคลมผลงานด้านสาธารณสุขโดยไม่ยอมรับความร่วมมือและการพัฒนาต่อเนื่องของรัฐบาลอื่น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ความจริงคือ การดูแลสุขภาพประชาชนเป็นภารกิจของ ทุกรัฐบาล และควรเป็นพื้นที่ที่ร่วมมือกัน มากกว่าฟาดฟันกันด้วยความขัดแย้งทางการเมือง


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่