IMF เผย '4 หลุมพราง' ฉุดเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ปรับลดคาดการณ์เติบโตเหลือ 1.8% แนะรัฐบาลกระจายคู่ค้า ผ่อนคลายดอกเบี้ย เสริมศักยภาพผ่านการปฏิรูปโครงสร้าง และยกระดับมูลค่าเพิ่มในธุรกิจเดิม
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "เศรษฐกิจไทยและอาเซียน" กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยพบมาก่อน แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรที่เข้มงวด ส่งผลให้องค์กรระหว่างประเทศอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต้องปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของภูมิภาคลงอย่างมีนัยสำคัญ
นางรูปา ดัตตะกุปตะ รองผู้อำนวยการแผนกเอเชียและแปซิฟิกของ IMF ให้สัมภาษณ์พิเศษ "กรุงเทพธุรกิจ" ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ต่ออาเซียนและประเทศไทยว่า ปัจจุบันสหรัฐเก็บภาษีศุลกากรสูงที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี และมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าบางประเทศ ซึ่งสร้างความตึงเครียดทางการค้าในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กลุ่มประเทศอาเซียนต้องเผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยสูงถึง 30% พร้อมกับความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออกในระดับสูง โดยสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP ของประเทศในอาเซียนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50% และสำหรับประเทศไทยมีการส่งออกไปยังสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 12-15% ของการส่งออกทั้งหมด
IMF ประเมินว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนจะลดลงจาก 4.8% ในปี 2024 เหลือเพียง 4.1% ในปีนี้ และอาจลดลงไปอีกเป็น 3.9% ในปีหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดการคาดการณ์ลงถึง 0.6% สำหรับปีนี้ และ 0.7% สำหรับปีหน้า เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยคาดการณ์ไว้ในรายงาน World Economic Outlook เดือนตุลาคม
ผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้นจะมาจาก 5 ช่องทางหลัก ได้แก่:
ผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีศุลกากร
การส่งออกไปยังประเทศที่สามลดลงเนื่องจากประเทศเหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและอุปสงค์ภายในประเทศ
การตึงตัวอย่างรุนแรงของสินเชื่อภายในประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อเงื่อนไขการกู้ยืมและแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในขาลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศในอาเซียนแตกต่างกันไป แต่อาจเป็นปัจจัยบวกเพียงอย่างเดียวสำหรับประเทศไทยเนื่องจากเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์
นางรูปากล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีการประกาศพักการเก็บภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แต่อัตราภาษีที่มีผลระหว่างจีนและสหรัฐ ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และเนื่องจากเศรษฐกิจทั้งสองเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค จึงคาดว่าภูมิภาคจะยังคงได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมากจากปัญหาการค้าที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม รองผู้อำนวยการของ IMF ยังมองว่าเศรษฐกิจอาเซียนมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงนี้ได้ เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและได้ใช้ความแข็งแกร่งนี้ในการปรับปรุงกรอบนโยบายให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น อัตราเงินเฟ้อได้ลดลงมาอยู่ในระดับเป้าหมาย และในบางประเทศยังต่ำกว่าช่วงเป้าหมายเนื่องจากการตอบสนองของนโยบายการเงินที่แข็งแกร่ง
'4 หลุมพราง' ฉุดเศรษฐกิจไทย
ในส่วนของประเทศไทย นางรูปาระบุว่า กำลังเผชิญกับความท้าทาย 4 ประการหลัก หรือ "หลุมพราง" ที่ฉุดเศรษฐกิจ ได้แก่:
ผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ทำให้การคาดการณ์การเติบโตของไทยถูกปรับลดลงเหลือประมาณ 1.8% จากเดิมที่คาดว่าจะสูงกว่า 2% ในรายงานเดือนตุลาคม
การพึ่งพาการท่องเที่ยวในระดับสูงของประเทศไทย ทำให้ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 รุนแรงกว่าหลายประเทศ และการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่เป็นไปอย่างช้ากว่า
ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงมากของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยบั่นทอนการบริโภค มาตรการที่จัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยปลดล็อกแหล่งอุปสงค์ภายในประเทศได้
ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในทุนมนุษย์และทุนทางกายภาพ (Psysical Capital) ที่ต่ำกว่าที่ควรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการที่ประชากรไทยมีอายุมากขึ้นส่งผลให้การมีส่วนร่วมของแรงงานและการเติบโตของผลิตภาพลดลง
ข้อเสนอ 'ทางรอด' ท่ามกลางภาษีทรัมป์
นางรูปาได้ให้คำแนะนำสำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียนและไทย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 6 ข้อคือ
ควรพยายามยุติความตึงเครียดทางการค้าและบรรลุข้อตกลงการค้าที่เป็นการประนีประนอมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความไม่แน่นอน ในจุดนี้ทั้งประเทศไทยและอาเซียนโดยรวมได้ดำเนินการในแนวทางที่เป็นความร่วมมือและประกาศว่าจะไม่มีส่วนร่วมในการทำให้ความตึงเครียดทางการค้าแย่ลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี
ควรใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นแรงจูงใจในการกระจายคู่ค้าทางการค้าให้หลากหลายมากขึ้น และเพิ่มการค้าภายในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนมีสัดส่วนเพียงประมาณ 20-21% ของการค้าทั้งหมดเท่านั้น การกระจายคู่ค้าไม่ได้หมายถึงการลดการค้ากับประเทศคู่ค้าเดิม แต่เป็นการขยายเครือข่ายตลาดให้กว้างขึ้น ทำให้มีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนจากตลาดใดตลาดหนึ่ง
ด้านนโยบายการเงิน ประเทศในอาเซียนมีพื้นที่ในการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย ควรพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเงินเฟ้อเริ่มลดลงหรือเมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีภาวะชะลอตัว แต่ต้องทำอย่างชัดเจนและค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น
ควรรักษาความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยในการรับมือกับความเสี่ยง แต่หากมีความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนมากเกินไป อาจจำเป็นต้องมีการแทรกแซงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบนโยบายแบบบูรณาการของ IMF
ในส่วนของนโยบายการคลัง เนื่องจากเป็นความเสี่ยงระยะยาวหรือเป็นความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพาการปรับตัวภายในของเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการกระตุ้นทางการคลังเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม บางภาคส่วนหรือครัวเรือนบางส่วนอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความปั่นป่วนในปัจจุบัน นโยบายการคลังจึงควรถูกใช้เพื่อเสริมนโยบายการเงิน แต่ต้องทำในแนวทางที่รอบคอบเพื่อให้การสนับสนุนชั่วคราวและมีเป้าหมายเฉพาะแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอย่างแท้จริง
ควรหาวิธีใหม่ๆ ในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตผ่านการปฏิรูปโครงสร้างที่สามารถเพิ่มการเติบโตของผลิตภาพในเศรษฐกิจ
เมื่อถามถึงสถานการณ์หนี้ของประเทศไทย นางรูปาอธิบายว่า หลายประเทศในภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจำเป็นต้องใช้พื้นที่ทางการคลังจำนวนมากเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 วิกฤตราคาพลังงาน และวิกฤตเงินเฟ้อ ทำให้พื้นที่ทางการคลังถูกใช้ไปมาก ปัจจุบันหนี้ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณเกือบเกิน 60% ของ GDP ดังนั้นหากมีความจำเป็นทางการคลัง ยังพอมีพื้นที่อยู่บ้าง แต่การใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ ควรเป็นมาตรการชั่วคราว มีเป้าหมายเฉพาะ และอยู่ในกรอบระยะกลาง โดยเน้นการเพิ่มรายได้ให้รัฐในระยะยาว
นางรูปาเสนอแนะว่า การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างหลายประการ เช่น การเพิ่มการลงทุนในทุนมนุษย์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การพัฒนาทักษะและการฝึกทักษะใหม่ให้กับแรงงานที่มีอายุเพิ่มขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การลดอุปสรรคการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การปรับปรุงธรรมาภิบาล และการเสริมความแข็งแกร่งของตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Safety Net)
ท้ายที่สุด แทนที่จะพึ่งพาเพียงการท่องเที่ยวและการส่งออกแบบเดิม เธอแนะนำให้ไทยพิจารณายกระดับมูลค่าเพิ่มในธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เช่น พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริการทางการเงินที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น ยานยนต์รุ่นใหม่
'4 หลุมพราง' ฉุดศก.ไทย ในมุมมอง IMF และข้อเสนอ 'ทางรอด' ท่ามกลางภาษีทรัมป์