JJNY : ไอซ์เผยอีก ตึกกสทช.สร้างไม่เสร็จ│หนี้ครัวเรือน–อีวีจีนบุกกดส่งออกร่วง│"วิจัยกรุงศรี"ชี้จีดีพีไทย│แม่สายน่าห่วง

ไอซ์ รักชนก เผยอีก ตึกกสทช. งบ 2.6 พันล้าน สร้างไม่เสร็จ ตั้งข้อสงสัยเบิกจ่ายงบ ไม่ผ่านสภาฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5159560
.
.
ไอซ์ รักชนก เผยอีก ตึกกสทช. งบ 2.6 พันล้าน สร้างไม่เสร็จ ตั้งข้อสงสัยเบิกจ่ายงบ ไม่ผ่านสภาฯ
.
เมื่อวันที่ 29 เมษายน น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ ข้อความ ดังนี้
.
“ตึกพันล้านร้อน ๆ มาเสิร์ฟอีกตึกแล้วจ้า รอบนี้เป็นตึก กสทช. งบ 2,600 ล้านบาท น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าในยุครัฐบาลคนดีย์ ยุครัฐประหาร รัฐบาล คสช. ทำไมถึงขยันของบสร้างตึกกันฉ่ำทุกที่
.
วันนี้ กมธ. ติดตามงบฯ ลงพื้นที่ตึกใหม่ กสทช. ใหญ่ ๆ เบิ้ม ๆ ภายใต้งบ 2,600 ล้านบาท + ค่าแบบกับค่าจ้างคุมงานอีก 100 ล้านบาท ริเริ่มจ้างทำแบบตั้งแต่ปี 56 แต่เริ่มสร้างตึก ม.ค. 62 ซึ่งจริง ๆ ต้องเสร็จ ตั้งแต่ 65 แต่อ้างติดโควิด ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็​จ
.
ปัจจุบัน กสทช. ได้บอกยกเลิกสัญญาจ้างไปแล้ว ด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ ส่วนนึงเพราะ กสทช. ต้องการแก้แบบเพิ่มอีก ซึ่งแน่นอนว่าบอกเลิกสัญญาและการเปลี่ยนแบบก็ต้องควักจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิมอีก
.
ทาง กมธ.ติดตามงบฯ ได้ขอแบบแปลนและ BOQ รายการของต่างๆ ในตึกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เกิน 10วัน น่าจะได้ข้อมูลว่าไส้ในตึกนี้มีอะไรบ้างจะหรูหราหมาเห่าเท่าตึก สตง.ไหม รอประชันกันได้เลย
.
แต่ เรื่องที่น่าสนใจ นอกจากเรื่องตึก 2,600ล้านบาทสร้างไม่เสร็จ คือ
.
1. กระบวนการงบประมาณของ กสทช. เพิ่งจะได้รับรู้วันนี้ว่า นอกจากที่มาของบอร์ด/คณะกรรมการ จะไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแล้ว กระบวนการงบก็ยังเป็นอิสระสูงมาก ถึงขนาดที่ไม่ต้องผ่านสำนักงบประมาณแผ่นดิน และไม่มีส่วนใดใดเลยที่ต้องให้สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากประชาชนพิจารณา แม้แต่บาทเดียว เพราะกสทช. มีเงินรายได้จากค่าธรรมเนียมโดยจะเก็บไม่เกิน 2% จากรายได้ทั้งหมดของ “ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือกิจการ โทรคมนาคมตามกฎหมาย” ซึ่งปีหนึ่งก็หลายพันล้านอยู่แล้ว ก็เอาตรงนี้มาบริหารจัดการเอง จึงไม่ต้องขอเงินจากงบประมาณ
.
ถ้าเอาตามที่สำนักงาน กสทช. บอก กระบวนการใช้งบจะเริ่มจาก สำนักงานเลขา กสทช. ทำคำของบประมาณ แล้วส่งให้คณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นเองโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงบประมาณ 4-5 คน มาช่วยปรับลด จากนั้นจะส่งไปรับฟังความเห็นจากคณะกรรมการ DE ที่มีนายกฯเป็นประธาน และส่งเข้าบอร์ด เพื่อให้บอร์ดตั้งอนุฯมากลั่นกรองอีกรอบ แต่น่าแปลกมาก สิ่งที่สำนักงานบอกเรากับข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน
.
• ข้อแรกสำนักงบประมาณบอกว่าไม่รู้ว่ามีกระบวนการนี้ และไม่น่าจะมีการส่งคนจากสำนักงบประมาณเข้ามาช่วยกลั่นกรอง
• ข้อสอง ตัวบอร์ด กสทช. ผู้ที่จะอนุมัติงบประมาณหลายพันล้าน ในปีที่ผ่านมาได้เห็นคำของบประมาณก่อนวันที่ต้องอนุมัติ เพียง 3 วัน แล้วจะไปตั้งอนุฯเพื่อกลั่นกรองได้ยังไง มีใครโกหกใครหรือกระบวนการตรงไหนอยู่ในหลุมดำอีกแล้วหรือเปล่า
.
2. อัตรากำลังพลจะเพิ่มเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด บอร์ดสามารถพิจารณาเองได้เลย ซึ่งถ้าเป็นกำลังพลข้าราชการต้องขอเพิ่มผ่าน กพ. ถ้าเป็นกำลังพลรัฐวิสาหกิจต้องขอเพิ่มผ่าน สคร. แต่ กสทช. เคาะเองเพิ่มเองได้เลย ซึ่งจะตามมาด้วยการที่ใช้งบประมาณอย่างบานปลาย ได้รู้มาว่าเค้ามีการแจกเข็มที่เป็นทองแท้ 100% ให้กับคนเกษียณอายุด้วยนะ น่าอิจฉาแทนหน่วยงานอื่นจริงๆ
.
3. อีกทั้งยังมี กองทุน กทปส. ที่มีเงินเป็นหมื่น ๆ ล้าน หยิบใช้กันสบายมือ ส่วนนึงเอาไปทำโครงการ USO จุดประสงค์ลดความเหลื่อมด้านอินเทอร์เน็ต แต่ไส้ในก็มีการทุจริตเอื้อประโยชน์กันแหลกลาญ และยังเป็นเหมือนกองทุนที่หน่วยงานรัฐ หรือผู้มีอำนาจมาควักเงินไปใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ที่เอาเงินไปซื้อลิขสิทธิ์บอลโลก 600 ล้าน แต่สุดท้ายคนไทยไม่ได้ดูฟรี ทั้งๆที่ทรูจ่ายแค่ 300 ล้าน เป้นคดีฟ้องร้องซึ่งไม่รู้ว่าใครต้องคืนเงินเท่าไหร่จนถึงทุกวันนี้
.
4. ** ทุกคนอาจจะยังไม่ทราบ 5 ปี มาแล้วนะคะ ที่ กสทช. ยังไม่มีเลขาจริง ๆ สักที อีกทั้งตัวประธาน กสทช. เองก็มีข้อครหาในคุณสมบัติ และที่สำคัญคือ กสทช. ก็ได้ชี้ว่าเป็นองค์กรที่มีความขัดแย้งภายในสูงมากเพราะมีฝั่งที่ยอมให้นายทุนค่ายมือถือ ‘จูงจมูก’ กับฝั่งที่ไม่ยอมสยบ
.
เป็นองค์กรที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเพราะผู้นำไร้ความสามารถ มาตรการอะไรในการกำกับดูแลผู้ให้บริการก็หละหลวม ไม่กล้าแตะต้องกลุ่มทุนสักเรื่อง ทั้งเรื่องการจัดการปัญหา SMS สแกมหลอกลวง เสาเน็ตเถื่อนตามชายแดน และเบอร์ม้าที่เอื้อแก๊งคอลเซนเตอร์ ทุกอย่างคืบหน้าช้ามาก
.
เป็นอีกหน่วยงานที่ไอซ์อยากให้ทุกคนสนใจ เพราะเราจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือกันทุกเดือน บางคนจ่ายรายวันด้วยซ้ำ กฏหมายให้อำนาจเขาดำเนินการอย่างอิสระ เพื่ออยากให้อยู่เหนือการควบคุมของฝ่ายการเมืองและกลุ่มทุน แต่วันนี้ชัดเจนแล้ว ว่าองค์กรนี้ถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุนกลุ่มใด
.
ค่าเน็ตน่ามือถือจริง ๆ มันก็เหมือนค่าไฟ เป็นสัมปทานของนายทุนที่เราต้องจ่ายกันทุกเดือน และมันค่อย ๆ ซึ่งหลายๆคนอาจจะไม่สังเกตเห็นว่าหลังการควบรวม เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้นโดยที่คุณภาพลดลง เรื่องนี้ไม่ใช้เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องทำอย่างตั้งใจ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามระเบียบและกฏหมายทุกประการ และคนที่เดือดร้อน สุดท้ายไม่แคล้วประชาชนตาดำ ๆ อีกตามเคย”
.
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/694385053123258
.

.
หนี้ครัวเรือน – อีวีจีนบุกประเทศคู่ค้า กดยอดขาย ส่งออก มี.ค. 68 ร่วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_5159628
.
หนี้ครัวเรือน – อีวีจีนบุกประเทศคู่ค้า กดยอดขาย ส่งออก มี.ค. 68 ร่วง
.
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมีนาคม 2568 พบว่า
.
ยอดการผลิต
.
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2568 มีทั้งสิ้น 129,909 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ร้อยละ 12.49 แต่ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 6.09 เพราะผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 9.36 จากการผลิตรถยนต์นั่งลดลงร้อยละถึง 51.18 เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถบางรุ่นของรถยนต์นั่ง แต่ผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.01 เพราะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ PHEV เพิ่มขึ้น แต่ผลิตรถกระบะลดลงร้อยละ 29.32 ตามยอดขายรถกระบะยังคงลดลง ขณะที่จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 352,499 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ร้อยละ 14.88
.
ผลิตเพื่อส่งออก
.
เดือนมีนาคม 2568 ผลิตได้ 83,217 คัน เท่ากับร้อยละ 64.06 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 9.36 ส่วนเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 236,796 คัน เท่ากับร้อยละ 67.18 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 13.48
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนมีนาคม 2568 ผลิตได้ 46,692 คัน เท่ากับร้อยละ 35.94 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 0.36 และเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 ผลิตได้ 115,703 คัน เท่ากับร้อยละ 32.82 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ร้อยละ 17.62
.
ด้านยอดขาย
.
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 55,798 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ร้อยละ 13.15 และลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 0.54 จากรถกระบะที่ยังคงขายลดลงร้อยละ 7.84 เพราะการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังกังวลหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำ ค่าครองชีพสูง ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2568 รถยนต์มียอดขาย 153,193 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 6.45
.
ด้านการส่งออก
.
รถยนต์สำเร็จรูป เดือนมีนาคม 2568 ส่งออกได้ 80,914 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 0.50 และลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 14.91 เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่น และจากการเข้มงวดในการลดการปล่อยคาร์บอนของบางประเทศ และการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีนในบางประเทศคู่ค้า จึงส่งออกลดลงในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตามส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
.
เดือนมีนาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 85,847.63 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 9.19 ขณะที่เดือนมกราคม – มีนาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 232,012.43 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 13.90
.
ด้านยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมีนาคม 2568
.
เดือนมีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 9,905 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 33.20 ขณะที่เดือนมกราคม – มีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 31,991 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 7.66
.
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมีนาคม 2568
.
เดือนมีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,570 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 4.92 และเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 38,165 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 0.13
.
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมีนาคม 2568
.
เดือนมีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 2,038 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 132.65 และเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 4,132 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – มีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 52.47
.
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 258,982 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 60.51
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 507,224 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 32.99
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 67,270 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 18.76
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่