เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย นงนุช สิงหเดชะ
https://www.prachachat.net/world-news/news-1795470
เกมบีบจีนที่สหรัฐใช้ถูกหลายคนเรียกว่าเป็น Game of Chicken หากเปรียบเป็นการขับรถที่ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน โดยที่พร้อมจะชนประสานงา ถ้าใครยอมหลบก่อนก็จะถูกมองว่าขี้ขลาด ซึ่งในเกมชนิดนี้ “ฉากทัศน์” มี 3 อย่างคือ 1.ต่างคนต่างเข้าปะทะกัน ไม่มีใครยอมหลบ ผลลัพธ์คือบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตทั้งคู่ 2.ฝ่ายหนึ่งยอมหักหลบ จะเป็นฝ่ายแพ้ 3.ต่างคนต่างหักหลบ ทุกคนปลอดภัย “วิน-วิน” ทั้งคู่
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เหตุที่ผู้นำจีนไม่ยอมอ่อนข้อให้ทรัมป์ เป็นเพราะต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าจีนสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า และไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นว่าเขาอ่อนแอ
จูด บล็องเชตต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย RAND China Research Center ระบุว่า กลยุทธ์สงครามการค้าของทรัมป์เป็นสิ่งที่ผู้นำจีนเตรียมตัวรับมือมาหลายปี ด้วยการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ การแตกหักทางการค้าเป็นสิ่งที่จีนคาดไว้อยู่แล้ว ดังนั้น จีนจะไม่เจรจา
หากถามว่าการปะทะกันครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่าย “กะพริบตา” ก่อน นีล โทมัส นักวิชาการด้านการเมืองแห่งสถาบันนโยบายสังคมเอเชียชี้ว่า ในตอนนี้ดูเหมือน สี จิ้นผิง กำลังคิดคำนวณว่าจีนสามารถทนทานต่อความเสียหาย และสุดท้ายแล้วสหรัฐจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน เพราะผู้นำจีนมองว่าประเทศต่าง ๆ อยากทำธุรกิจกับสหรัฐน้อยลง เพราะภาษีสร้างความไม่แน่นอน และจะผลักให้ประเทศเหล่านั้นเข้าหาจีนแทน
“จีนสามารถตอบโต้อย่างรุนแรงในระดับ ‘นิวเคลียร์’ ด้วยการแบนส่งออกแร่หายากไปให้สหรัฐ ซึ่งหมายถึงการชัตดาวน์ซัพพลายเชนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด ซึ่งจะทำลายเศรษฐกิจสหรัฐอย่างรุนแรง”
ด้านบล็องเชตต์เห็นว่า ทั้งสหรัฐและจีนต่างเห็นว่าตัวเองมีจุดแข็งเหนือกว่า ฝ่ายทรัมป์เห็นว่าจีนพึ่งพาการส่งออกมาก ดังนั้น จึงเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าในการกดดันให้จีนยอมสยบ ส่วนจีนเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้ทรัมป์อ่อนแอลง และยังเอาตัวออกห่างจากประเทศพันธมิตร
สกอตต์ เคนเนดี้ ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์ศึกษากลยุทธ์ระหว่างประเทศชี้ว่า ทางจีนเชื่อว่าทรัมป์ “กะพริบตา” เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ประกาศ “ระงับ” การเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน ซึ่งจีนเห็นว่านี่คือความอ่อนแอของทรัมป์ และจีนก็จะรอดูต่อไป... อ่านต่อข่าวต้นฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.prachachat.net/world-news/news-1795470
ทำไม ‘สี จิ้นผิง’ ไม่ ‘หมอบ’ ใน ‘ศึกภาษี’ กับโดนัลด์ ทรัมป์
https://www.prachachat.net/world-news/news-1795470
เกมบีบจีนที่สหรัฐใช้ถูกหลายคนเรียกว่าเป็น Game of Chicken หากเปรียบเป็นการขับรถที่ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน โดยที่พร้อมจะชนประสานงา ถ้าใครยอมหลบก่อนก็จะถูกมองว่าขี้ขลาด ซึ่งในเกมชนิดนี้ “ฉากทัศน์” มี 3 อย่างคือ 1.ต่างคนต่างเข้าปะทะกัน ไม่มีใครยอมหลบ ผลลัพธ์คือบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตทั้งคู่ 2.ฝ่ายหนึ่งยอมหักหลบ จะเป็นฝ่ายแพ้ 3.ต่างคนต่างหักหลบ ทุกคนปลอดภัย “วิน-วิน” ทั้งคู่
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เหตุที่ผู้นำจีนไม่ยอมอ่อนข้อให้ทรัมป์ เป็นเพราะต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าจีนสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า และไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นว่าเขาอ่อนแอ
จูด บล็องเชตต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย RAND China Research Center ระบุว่า กลยุทธ์สงครามการค้าของทรัมป์เป็นสิ่งที่ผู้นำจีนเตรียมตัวรับมือมาหลายปี ด้วยการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ การแตกหักทางการค้าเป็นสิ่งที่จีนคาดไว้อยู่แล้ว ดังนั้น จีนจะไม่เจรจา
หากถามว่าการปะทะกันครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่าย “กะพริบตา” ก่อน นีล โทมัส นักวิชาการด้านการเมืองแห่งสถาบันนโยบายสังคมเอเชียชี้ว่า ในตอนนี้ดูเหมือน สี จิ้นผิง กำลังคิดคำนวณว่าจีนสามารถทนทานต่อความเสียหาย และสุดท้ายแล้วสหรัฐจะเป็นฝ่ายกะพริบตาก่อน เพราะผู้นำจีนมองว่าประเทศต่าง ๆ อยากทำธุรกิจกับสหรัฐน้อยลง เพราะภาษีสร้างความไม่แน่นอน และจะผลักให้ประเทศเหล่านั้นเข้าหาจีนแทน
“จีนสามารถตอบโต้อย่างรุนแรงในระดับ ‘นิวเคลียร์’ ด้วยการแบนส่งออกแร่หายากไปให้สหรัฐ ซึ่งหมายถึงการชัตดาวน์ซัพพลายเชนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด ซึ่งจะทำลายเศรษฐกิจสหรัฐอย่างรุนแรง”
ด้านบล็องเชตต์เห็นว่า ทั้งสหรัฐและจีนต่างเห็นว่าตัวเองมีจุดแข็งเหนือกว่า ฝ่ายทรัมป์เห็นว่าจีนพึ่งพาการส่งออกมาก ดังนั้น จึงเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าในการกดดันให้จีนยอมสยบ ส่วนจีนเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้ทรัมป์อ่อนแอลง และยังเอาตัวออกห่างจากประเทศพันธมิตร
สกอตต์ เคนเนดี้ ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์ศึกษากลยุทธ์ระหว่างประเทศชี้ว่า ทางจีนเชื่อว่าทรัมป์ “กะพริบตา” เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ประกาศ “ระงับ” การเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน ซึ่งจีนเห็นว่านี่คือความอ่อนแอของทรัมป์ และจีนก็จะรอดูต่อไป... อ่านต่อข่าวต้นฉบับเต็มได้ที่ : https://www.prachachat.net/world-news/news-1795470