วันนี้ 18/4/68 หุ้น US และ ฮ่องกง และอินเดีย หยุด 
ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่ง นักลงทุนรอประเมินข่าวการเจรจาภาษี
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม เนื่องจากนักลงทุนประเมินความคืบหน้าในการเจรจาภาษีกับญี่ปุ่น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
ผู้ค้าต่างพยายามมองโลกในแง่ดีตามความเห็นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับ "ความคืบหน้าครั้งใหญ่" ในการเจรจาทวิภาคีหลังการเทขายแบบถล่มทลายเมื่อวันพุธ
ทรัมป์ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเขาคาดว่าจะทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการเจรจาจะดำเนินไปอย่างไร
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.13% ปิดตลาดที่ 5,282.70 จุด
แนสแดคลดลง 0.13% ปิดที่ 16,286.45 จุด
ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 1.33% ปิดที่ 39,142.23 จุด
ปริมาณการซื้อขายในสหรัฐฯ ค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติในช่วงล่าสุด โดยมีการซื้อขายหุ้น 14.6 พันล้านหุ้น เทียบกับค่าเฉลี่ย 19.2 พันล้านหุ้นในช่วง 20 วันทำการก่อนหน้า
ในด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำที่เพิ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กลับมาลดลง 0.73% อยู่ที่ 3,319 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนหยุดการเลี่ยงจากเงินดอลลาร์ชั่วคราว
ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3% ในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากความหวังสำหรับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และการคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งจะลดการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ยังคงสร้างความกังวลด้านอุปทาน
ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเบรนท์ปิดที่ 2.11 ดอลลาร์หรือ 3.2% เพิ่มขึ้นเป็น 67.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
และน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.21 ดอลลาร์หรือ 3.54% ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คอนเฟิร์ม "ทรัมป์" เอาจริง เปิดสูตรฟาดภาษีจีนพุ่ง 245% คิดจากอะไร?
เปิดสูตร สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 245% ทรัมป์ลุยตอบโต้ศึกแร่หายาก เบื้องหลังสงครามเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่เดิมพันด้วยความมั่นคงของประเทศ
ไม่ใช่ตัวเลขหลุด หรือพิมพ์ผิดอย่างที่หลายคนสงสัย รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากจีนถูกปรับขึ้นสูงสุดถึง 245% จริง และเป็นตัวเลขที่มีที่มาที่ไป
ภาษี 245% คิดจากอะไร?
จากแถลงการณ์ของทำเนียบขาว สหรัฐฯ ไม่ได้ตั้งภาษี 245% ในรายการเดียว แต่เป็นการ รวมหลายมาตรการภาษีที่ซ้อนทับกัน จนกลายเป็นตัวเลขสูงลิ่ว โดยเฉพาะกับสินค้าจีนบางประเภท ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ทั้งนี้ มาตรการที่นำมารวมกันมีดังนี้:
ภาษีฐาน 10% ที่ใช้กับสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นพื้นฐาน
ภาษีตอบโต้ 125% ที่ใช้เพื่อตอบกลับจีน หลังจากที่จีนตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าสหรัฐในระดับเดียวกัน
ภาษีพิเศษ 20% ที่เชื่อมโยงกับบทบาทของจีนในปัญหาการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล
ภาษีภายใต้กฎหมาย Trade Act มาตรา 301 ซึ่งกำหนดไว้ระหว่าง 7.5% ถึง 100% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและพฤติกรรมทางการค้าที่สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม
ดังนั้น ในกรณีของสินค้าบางรายการ หากสหรัฐฯ นำภาษีจากแต่ละหมวดที่เกี่ยวข้องมารวมกัน เช่น 125% (ภาษีตอบโต้) + 20% (เฟนทานิล) + 100% (ภาษีตาม Section 301) = 245%
นั่นคือที่มาของตัวเลข 245% ซึ่ง ไม่ใช่ภาษีเดียว แต่เป็นผลรวมจากมาตรการหลายทางที่ซ้อนทับกันกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติและสงครามการค้า หรือในบางกรณี อาจบวกจาก 125% + 20% + 10% (ฐาน) + 90% (Section 301) = 245% เช่นกัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ โดยจีนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย ตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีของตัวเองสูงถึง 125% พร้อมทั้งออกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากชนิดต่างๆ ไปยังสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการระงับการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก 6 ชนิดในเดือนนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การบิน และกลาโหมของอเมริกา
ภาษี 245% นี้ยังเชื่อมโยงกับคำสั่งบริหารล่าสุดของทรัมป์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดการสอบสวนว่า การพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหายากจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ก่อให้เกิด “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” หรือไม่ หากผลการสอบสวนชี้ว่าเป็นภัยจริง สหรัฐอาจใช้อำนาจภายใต้ Section 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 เพื่อกำหนดภาษีเพิ่มเติมหรือออกมาตรการอื่นๆ ได้อีก
แร่หายากไม่ใช่เพียงแค่สินค้าทั่วไป แต่คือ “หัวใจ” ของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนของ F-35 ระบบนำวิถีขีปนาวุธ เรดาร์ โทรคมนาคมขั้นสูง ไปจนถึงอุปกรณ์ MRI ที่ใช้ในโรงพยาบาล โดยปัจจุบัน สหรัฐมีเหมืองแร่หายากที่เปิดดำเนินการเพียงแห่งเดียว และต้องพึ่งพาจีนถึง 70% สำหรับการนำเข้าแร่หายากในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการแล้ว
ที่สำคัญ จีนมีส่วนแบ่งตลาดโลกในด้านการแปรรูปแร่หายากสูงถึง 92% กลายเป็นผู้ควบคุมห่วงโซ่อุปทานเกือบเบ็ดเสร็จ ทำให้สหรัฐวิตกว่านี่อาจกลายเป็น “อาวุธทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่จีนสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหรือกดดันในยามวิกฤต
กูรูชี้เฟดลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง หลังสหรัฐฯ เสี่ยงเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจทรุด
โบรกมองกำแพงภาษีสหรัฐฯ-จีน ยังยืดเยื้อต่อไป สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกถดถอย สหรัฐฯ ของแพง เงินเฟ้อสูง มีโอกาสเห็นเฟดลดดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ถูกแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้นั้น มองว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนจีนที่เป็นเจ้าหนี้ทำการเทขายออกมากดดันให้ US Bond Yield ปรับตัวขึ้น
คำถามคือกระทบอย่างไรกับกระแสเงินทุน เมื่อเกิดการขายพันธบัตรก็อาจเป็นไปได้จะเห็นเงินไหลออกจากสหรัฐฯ สอดคล้องกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง และทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่า อย่างไรก็ตามเงินบาทที่แข็งค่าอาจไม่ได้หมายความว่าทำให้กระแสเงินทุนกลับเข้ามายังตลาดหุ้น
เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ แม้ล่าสุดจะสั่งระงับเกือบทุกประเทศเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน แต่เมื่อเป็นทรัมป์แล้วอะไรก็มักจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่กำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯกับจีนก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก (สถิติการเกิดสงครามการค้าทำให้ GDP ทั่วโลกปรับลง)
ทั้งนี้ ราคาสินค้าในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะสูงขึ้นตามการปรับขึ้นภาษีนำเข้า มีผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้การดำเนินงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จากนี้จะค่อนข้างยาก ปัจจุบันนั้นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณของการอ่อนแอ
โดยสะท้อนผ่านการจ้างงานที่เริ่มน้อยกว่าที่ทางนักวิเคราะห์คาดการณ์จากหลายแห่ง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติก็อาจเห็น FED ลดดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตามด้วยราคาสินค้านำเข้าที่จะสูงขึ้นเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้นอีกด้วย
ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ยในปี 2568 นี้ ทั้งหมด 4 ครั้ง สูงขึ้นจากเมื่อตอนต้นปีที่ประเมินไว้เพียง 1-2 ครั้ง สะท้อนว่านักลงทุนคาดหมายไว้ว่าแม้เงินเฟ้ออาจสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจอาจทรุดตัวหนักกว่า
ไทยต่อรองสหรัฐฯ ต้องใช้เวลา
การเจรจากับสหรัฐฯของไทย อาจไม่ได้คาดหวังอะไรได้มากนักเพราะเชื่อว่าการต่อรองจะใช้ระยะเวลาและสินค้าที่สหรัฐฯส่งออกมายังประเทศไทยประกอบไปด้วยเครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ (30%) เคมีภัณฑ์ (20%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (15%) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าขนาดใหญ่ / ราคาสูง ทำให้การนำเข้าจากสหรัฐฯอาจมิได้สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ด้วยกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ (ประเทศไทยรายได้ปานกลาง) ส่วนการห้าม Short หุ้นนั้นช่วยได้เพียงระยะสั้นท้ายที่สุดแล้วหากนักลงทุนไม่มั่นใจก็สามารถขายหุ้นออกได้ ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ห้ามการ Short Sale พบว่า % ในการ Short ลดลงจาก 4.6% ลงมาเหลือเพียง 0.1%
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนี SET Index ในสัปดาก์นี้ (16-18 เม.ย.68) เคลื่อนไหวในกรอบ 1,050 - 1,150 จุด
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ได้ให้มุมมองกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การที่ประเทศสหรัฐฯ ออกมาตรการภาษีตอบโต (reciprocal tariffs) กับหลายประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าครั้งนี้
ส่งผลให้สถานการณ์สงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น จนแปลเปลี่ยนเป็นสงครามการเงิน เพราะความกดดันดังกล่าวทำให้เหล่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งญี่ปุ่นและจีนกระหน่ำเทขายพันธบัตรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทบค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ภาพถัดมาคือ ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี กับ 3 เดือน ที่ติดลบที่ -0.046442 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจถดถอย เมื่อส่วนต่างนี้ติดลบ มักจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาภายใน 12-18 เดือน
"การที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็มองว่า FED อาจต้องเผชิญกับความอึดอัดใจในการปรับลดดอกเบี้ยลง เพราะบอนด์ยีลด์ที่สูงขึ้นก็จะทำให้เครื่องมือในการลดดอกเบี้ยในมือน้อยลงตามไปด้วย และด้วยสงครามการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้คาดว่าเหล่าประเทศต่างๆ จะยังมีการทยอยขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่อง"
ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่ง, เปิดสูตรฟาดภาษีจีนพุ่ง 245% คิดจากอะไร? และ กูรูชี้เฟดลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง
ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ยในปี 2568 นี้ ทั้งหมด 4 ครั้ง สูงขึ้นจากเมื่อตอนต้นปีที่ประเมินไว้เพียง 1-2 ครั้ง สะท้อนว่านักลงทุนคาดหมายไว้ว่าแม้เงินเฟ้ออาจสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจอาจทรุดตัวหนักกว่า