Impossible Trinity กฎที่แหกแล้ว เศรษฐกิจเสียหาย บทเรียนวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540

Impossible Trinity กฎที่แหกแล้ว เศรษฐกิจเสียหาย บทเรียนวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า นโยบายทางเศรษฐกิจ 3 อย่างคือ

1. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่

2. การอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี

3. การกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ




ทั้ง 3 อย่างนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้
โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันได้เพียง 2 อย่าง
และถ้าประเทศไหนฝ่าฝืน จะเกิดผลที่ร้ายแรงตามมา

เรื่องนี้เป็นอย่างไร
แล้วเกี่ยวอะไรกับ วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ทฤษฎีที่ว่าคือ Impossible Trinity ถูกพัฒนาโดย Robert Mundell และ Marcus Fleming
2 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในช่วงระหว่างปี 2503-2506

โดยทั้ง 2 คนบอกว่า นโยบายทางเศรษฐศาสตร์ 3 อย่างจะเกิดขึ้นพร้อมกันได้เพียง 2 อย่าง ภายใต้ 3 คู่เหตุการณ์

- คู่ที่ 1 การใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และการอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี
แต่ธนาคารกลางจะไม่มีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงิน

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโรร่วมกัน โดยให้อัตราแลกเปลี่ยนมีค่าคงที่ ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปก็ยังเปิดให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าและออกประเทศอย่างเสรี เพื่อเอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของกรณีนี้คือ
ประเทศสมาชิกจะไม่สามารถกำหนดนโยบายการเงินได้อย่างอิสระ เนื่องจากประเทศในกลุ่มนี้จะมีธนาคารกลางยุโรปทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายการเงินให้แก่ประเทศสมาชิก

แต่ปัญหาก็คือ “ความแตกต่างกัน” ระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิก

เราลองนึกภาพว่า วิกฤติหนี้ยุโรปกรีซซึ่งมีหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงถึง 158%
ขณะที่ประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ กลับมีหนี้สาธารณะต่อ GDP ประมาณ 43%

คำถามคือ การที่ 2 ประเทศนี้มีสภาพเศรษฐกิจที่ต่างกัน
การนำนโยบายการเงินที่เหมือนกันมาใช้
อาจไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหาที่ถูกต้องมากนัก

ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ประชาชนในบางประเทศไม่พอใจ เช่น สหราชอาณาจักร จนโหวตให้ประเทศตนเองออกจากสหภาพยุโรป หรือเรียกว่า BREXIT

- คู่ที่ 2 การใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ
แต่เงินทุนจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แบบเสรี

จีนคือหนึ่งในตัวอย่างของประเทศที่ใช้นโยบายเศรษฐกิจคู่นี้ โดยจีนจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการอย่างเข้มงวด (Managed Float) พร้อมทั้งสามารถกำหนดนโยบายทางการเงินของประเทศได้อย่างอิสระ เช่น ปรับเพิ่ม-ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้ตามเห็นสมควร

ดังนั้น เราจึงมักได้ยินธนาคารกลางของจีน ประกาศลดค่าเงินหยวน เพื่อช่วยภาคส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

แต่กรณีนี้ จีนต้องมีการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งข้อเสียของกรณีนี้คือ การขาดความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ

ลองนึกภาพว่า ถ้าวันดีคืนดี จีนสั่งห้ามไม่ให้นำเงินออกนอกประเทศจีน นักลงทุนก็คงต่างพากันตกใจที่เงินตัวเองถูกกักไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการลงทุนโดยตรง (FDI)  

อย่างไรก็ตาม การที่จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
มีจุดแข็งเรื่องการผลิต ระบบซัปพลายเชน และอุตสาหกรรมไฮเทค
รวมถึงรัฐบาลจีน ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ก็ทำให้ที่ผ่านมา จีนสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้มากเช่นกัน

- คู่ที่ 3 การอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ
แต่อัตราแลกเปลี่ยนต้องเป็นลอยตัว

นี่คือนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการค้า และการลงทุนในระบบทุนนิยม ซึ่งหลายประเทศนิยมใช้

หนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย ที่อนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ

กรณีของไทยนั้น นอกจากจะมีการอนุญาตให้เงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรีแล้ว ธนาคารกลางยังมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินในการปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นไปตามกลไกของตลาด ขึ้นอยู่กับอุปสงค์-อุปทาน ของสกุลเงินนั้น

ดังนั้น ค่าเงินของประเทศ จะมีความผันผวนสูงกว่า 2 กรณีแรก และในบางครั้งจะสร้างผลกระทบต่อผู้นำเข้าและส่งออก ลองนึกภาพว่า ถ้าเราผลิตสินค้าที่มีต้นทุน แต่ถ้าเราได้รับเงินจากต่างชาติน้อยลง เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนต่างจากที่คาด ก็ทำให้เราขาดทุนได้เช่นกัน

ซึ่งกรณีของประเทศไทย ที่พึ่งพาการส่งออกและการบริการสูง การแข็งค่าของเงินบาทที่มากและรวดเร็ว จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นภาระของธนาคารกลางในการเข้ามาดูแลจัดการอัตราแลกเปลี่ยน

และทั้งหมดนี้ก็คือ ความหมายของ Impossible Trinity ที่ลงทุนแมนนำมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ

แต่รู้ไหมว่า ในอดีตมีประเทศหนึ่ง ที่เคยนำนโยบายดังกล่าวมาใช้พร้อมกันทั้ง 3 อย่าง นั่นคือ ประเทศไทย และผลที่ตามมาก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 หรือที่เราเรียกว่า ต้มยำกุ้ง

- ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ประเทศไทยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ด้วยการผูกค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงนั้น ประเทศไทยกำหนดให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ สามารถแลกเป็นเงินไทยได้ 25 บาท ต่อมาภายหลังก็ปรับขึ้นมาเป็น 26 บาท แต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่

- รัฐบาลไทยในขณะนั้น ต้องการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเทียบเท่ากับฮ่องกงในตอนนั้น
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงมีการจัดตั้ง กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ขึ้นในปี 2536 เพื่อทำธุรกรรมในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ แล้วนำมาปล่อยกู้ทั้งในและนอกประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานกิจการวิเทศธนกิจขึ้น

ในตอนแรก การเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเหมือนจะเป็นความคิดที่ดี
เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 2536-2539
GDP เติบโตกว่า 10% ต่อปี นักลงทุนต่างชาติจึงอยากปล่อยกู้ให้ เพราะเศรษฐกิจของไทยตอนนั้นฮอตสุด ๆ

แต่แล้วเศรษฐกิจก็ร้อนแรงเกินไป จนเป็นฟองสบู่..

และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกนโยบายอย่างที่ 3 ที่ท้าทาย Impossible Trinity

นั่นก็คือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมให้การกู้ยืมมีต้นทุนการเงินที่สูง ป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป

แต่ตามกฎของ Impossible Trinity ถ้าจะให้เงินเข้าออกได้อย่างอิสระ และมีอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ นโยบายการเงินของประเทศ จะต้องอยู่ในระดับเดียวกับต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ

โดยช่วงก่อนวิกฤติการเงิน ปี 2540 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ (MLR) ในประเทศไทย เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 13.75% ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศนั้น อยู่ที่ประมาณ 7-8% หรือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนั้นห่างกันเกือบเท่าตัว

พอเรื่องเป็นแบบนี้ ไม่เพียงแต่สถาบันการเงินหลายแห่ง แต่ยังรวมไปถึงบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงเร่งกู้ยืมเงินจากต่างประเทศมาลงทุนหรือมาปล่อยกู้ในประเทศกันอย่างมาก

ที่เป็นแบบนี้เพราะทุกคนเชื่อว่า ค่าเงินบาทที่ถูกกำหนดไว้ที่ 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะคงที่ตลอดไป ดังนั้นความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน จึงถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง

ช่วงนั้นเงินที่กู้มา ถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก บางส่วนก็นำไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่ประเด็นของเรื่องคือ หนี้ต่างประเทศที่กู้มา ในเวลานั้นสูงถึง 3 ล้านล้านบาท ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในปี 2539 มีอยู่เพียง 1.3 ล้านล้านบาท

ในช่วงปี 2537-2538 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มขาดดุลมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เริ่มไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจไทย และเริ่มเรียกคืนหนี้ที่ปล่อยกู้คืน นั่นหมายถึงคนต้องขายเงินบาท เพื่อไปแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามกลไกของตลาดในตอนนั้น เงินบาทต้องอ่อนค่าลง

เมื่อรวมกับการโจมตีค่าเงินจากกองทุน Hedge Fund ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไทยอย่างหนัก

แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย คงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย จึงนำเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองระหว่างประเทศ มาซื้อเงินบาท

แต่การพยุงเงินบาทไปเรื่อย ๆ หมายถึงทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง จนสุดท้ายไม่ไหว ต้องยอมแพ้และประกาศลอยตัวค่าเงินบาท โดยเงินบาทอ่อนค่าไปสูงสุดถึง 56 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

ธุรกิจหลายแห่งที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศ จึงมีมูลค่าหนี้เมื่อเทียบเป็นเงินไทยเพิ่มขึ้น 2 เท่า และทำให้ธุรกิจจำนวนมากถึงกับล้มละลาย

ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง และถูกนำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์วิกฤติครั้งต่อมา และมักจะเจอคำถามอยู่เสมอว่า วิกฤติครั้งนี้รุนแรงเท่ากับวิกฤติต้มยำกุ้งหรือไม่

การเข้าใจเรื่องการเงินและเศรษฐศาสตร์ ทำให้เรารู้ถึงเหตุผล และความเป็นไปของเศรษฐกิจระดับประเทศ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาเป็นบทเรียนไม่ให้เราทำสิ่งที่ผิดพลาดอีกครั้ง

ถ้าวันนั้น เราเลือกที่จะไม่ฝืน Impossible Trinity โดยให้ค่าเงินบาทลอยตัวตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก ก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่คนขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนในข้ามคืนเดียวมากขนาดนี้

ถ้าวันนั้น เราไม่กำหนดนโยบายการเงินของตนเอง ที่แตกต่างจากต่างประเทศมาก ก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่คนกู้เงินจำนวนมากจากต่างประเทศ แล้วเจ้าหนี้ต่างประเทศเรียกคืน

ถ้าวันนั้น เราควบคุมการเข้าออกของเงินไม่ให้เป็นไปอย่างอิสระ ถึงแม้ว่านักลงทุนจะสูญเสียความเชื่อมั่นไปบ้าง แต่เราก็อาจป้องกันการโจมตีค่าเงินได้

สรุปแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
คงไม่ได้ผิดที่ใครคนใดคนหนึ่ง
แต่มันก็คือผลของการกระทำของทุกฝ่ายในเวลานั้น นั่นเอง..

https://www.facebook.com/share/1AM5EXZg1x/?mibextid=wwXIfr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่