สถานการณ์หุ้นบิ๊กเทค หรือหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” ปีนี้ไม่ดีเอาเสียเลย ต่างจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) แบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนรอบใหม่ปะทุขึ้น การกลับมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีการประกาศนโยบายภาษีอย่างดุเดือดใส่กัน ขณะที่การเปิดตัวเทคโนโลยี AI อย่าง “DeepSeek” ของทางจีน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อหุ้นเทคสหรัฐ
วิเคราะห์ “หุ้น 7 นางฟ้า”
“สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา” นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาพรวมของหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ได้แก่ Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN), Apple (AAPL), Meta Platforms (META), Microsoft (MSFT), Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) ยังได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.นโยบายภาษี (Tariff) ของสหรัฐ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้มีการเพิ่มภาษีในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แต่อยู่ในช่วงรอบังคับใช้ และอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายภาษี.
โดย Apple ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีทรัมป์ เนื่องจาก Apple นำเข้าไอโฟน 16 จากจีน จะส่งผลราคาเพิ่มสูงขึ้น เช่น จากราคา 50,000 บาท กลายเป็น 1 แสนบาท จำนวนคนซื้อจะลดลง ส่งผลให้ชิปใช้น้อยลงด้วย ทำให้ Apple ได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง โดย Apple มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากจีน 15%
ขณะที่ Nvidia ได้รับผลกระทบจาก AI ในจีนที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด แอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินของจีน มีการทดลองใช้ชิปในประเทศในการทำ AI เอง ซึ่งก็ได้ผลดี ดังนั้น การที่จีนทำ AI ได้ และใช้ชิปประเทศตนเอง แปลว่าเขาจะใช้ชิปจากต่างประเทศน้อยลง ส่งผลให้ชิปจาก Nvidia มีความต้องการน้อยลง
ด้าน Microsoft มีแนวโน้มปรับลด Capex หรือรายจ่ายด้านทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีชิป Nvidia ที่อยู่ด้านในได้รับผลกระทบด้วย นอกจากนี้ Nvidia มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากจีน ประมาณ 12-15%
ส่วน Tesla ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีเช่นกัน แต่ไม่สูงมาก เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากจีน แล้วส่งไปสหรัฐ แต่จะถูกเก็บภาษีที่ผลิตจากจีนส่งไปยุโรป ซึ่งการแข่งขันของจีนก็ค่อนข้างดุเดือด รวมถึงยอดขายของ Tesla ก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย Tesla มีสัดส่วนที่มาจากจีน 22% ดังนั้น Tesla แม้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่การแข่งขันก็ค่อนข้างสูง.
ในขณะที่ Meta ยังไม่ได้รับผลกระทบจากจีน แต่อาจจะลด Capex ลงเช่นกัน โดย Meta ยังกังวลว่า เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง จะส่งผลให้การโฆษณา อาจจะน้อยลงตาม Meta จึงจะได้รับผลกระทบเชิงอ้อมเช่นเดียวกันกับ Microsoft และ Alphabet ก็อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากนัก
เช็กอาการ ‘หุ้น 7 นางฟ้า’ ท่ามกลางสงครามภาษี ทรัมป์ VS จีน
วิเคราะห์ “หุ้น 7 นางฟ้า”
“สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา” นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาพรวมของหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ได้แก่ Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN), Apple (AAPL), Meta Platforms (META), Microsoft (MSFT), Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) ยังได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.นโยบายภาษี (Tariff) ของสหรัฐ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้มีการเพิ่มภาษีในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ แต่อยู่ในช่วงรอบังคับใช้ และอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายภาษี.
โดย Apple ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีทรัมป์ เนื่องจาก Apple นำเข้าไอโฟน 16 จากจีน จะส่งผลราคาเพิ่มสูงขึ้น เช่น จากราคา 50,000 บาท กลายเป็น 1 แสนบาท จำนวนคนซื้อจะลดลง ส่งผลให้ชิปใช้น้อยลงด้วย ทำให้ Apple ได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง โดย Apple มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากจีน 15%
ขณะที่ Nvidia ได้รับผลกระทบจาก AI ในจีนที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด แอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินของจีน มีการทดลองใช้ชิปในประเทศในการทำ AI เอง ซึ่งก็ได้ผลดี ดังนั้น การที่จีนทำ AI ได้ และใช้ชิปประเทศตนเอง แปลว่าเขาจะใช้ชิปจากต่างประเทศน้อยลง ส่งผลให้ชิปจาก Nvidia มีความต้องการน้อยลง
ด้าน Microsoft มีแนวโน้มปรับลด Capex หรือรายจ่ายด้านทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีชิป Nvidia ที่อยู่ด้านในได้รับผลกระทบด้วย นอกจากนี้ Nvidia มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากจีน ประมาณ 12-15%
ส่วน Tesla ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีเช่นกัน แต่ไม่สูงมาก เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากจีน แล้วส่งไปสหรัฐ แต่จะถูกเก็บภาษีที่ผลิตจากจีนส่งไปยุโรป ซึ่งการแข่งขันของจีนก็ค่อนข้างดุเดือด รวมถึงยอดขายของ Tesla ก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย Tesla มีสัดส่วนที่มาจากจีน 22% ดังนั้น Tesla แม้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่การแข่งขันก็ค่อนข้างสูง.
ในขณะที่ Meta ยังไม่ได้รับผลกระทบจากจีน แต่อาจจะลด Capex ลงเช่นกัน โดย Meta ยังกังวลว่า เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง จะส่งผลให้การโฆษณา อาจจะน้อยลงตาม Meta จึงจะได้รับผลกระทบเชิงอ้อมเช่นเดียวกันกับ Microsoft และ Alphabet ก็อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากนัก