เราควรสอนลูกเรื่อง ‘การเงิน’ อย่างไรดี จะเริ่มสอนเมื่อไร สอนแบบไหน? เพราะเรื่องแบบนี้…ในระบบการศึกษา (คง) ไม่มีสอน

เราควรสอนลูกเรื่อง ‘การเงิน’ อย่างไรดี จะเริ่มสอนเมื่อไร สอนแบบไหน? เพราะเรื่องแบบนี้…ในระบบการศึกษา (คง) ไม่มีสอน

ทุกวันนี้ประชากรรัฐที่ไม่ได้มีการ 'ประกันรายได้' ยามแก่ชราอย่างเราๆ ยิ่งมีอายุ เราก็ยิ่งรู้สึกว่า 'ความรู้ทางการเงิน' เป็นสิ่งสำคัญระดับพื้นฐานของชีวิต บางเรื่องพอเราได้เรียนรู้ เราก็รู้สึกว่าถ้าเรารู้ก่อนหน้านี้ เราน่าจะวางแผนชีวิตรวมถึง 'ลงทุน' เตรียมเกษียณได้ดีกว่านี้ และหากย้อนไปได้หลายคนก็อยากให้มีการเรียนการสอนตั้งแต่ในระดับอุดมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ แต่โดยทั่วไปเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าใดๆ ว่าจะไปอยู่ในระบบการศึกษาได้ (และว่ากันตรงๆ ครูอาจารย์เองก็มีปัญหาเรื่องการ 'บริหารเงิน' ด้วยซ้ำ)
.
ดังนั้นหนทางที่ดีสำหรับประชากรรุ่นต่อไปก็คือ พ่อแม่ควรจะสอนเรื่อง 'การเงิน' ให้กับลูกเองเลย และนั่นจะเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำหรับลูก ให้ลูกโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทางการเงินและดูแลตัวเองเรื่องเงินในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม
.
แล้วพ่อแม่ควรจะทำอย่างไรล่ะ? ควรจะสอนลูกตอนอายุเท่าไร? และควรจะสอนอย่างไร?
.
ทาง Psychology Today แนะว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนเล็กๆ เด็กไม่มีความเข้าใจเรื่องการเงินแน่ๆ เด็กเหมือนจะเข้าใจว่าเงินมันได้มาจากในอากาศ โดยในช่วงวัยนี้เด็กจำนวนมากก็ไม่ได้ 'ค่าขนม' ด้วยซ้ำ แต่พอเด็กเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มเรียนรู้เรื่องการเงินจากพ่อแม่ และนี่เองที่พ่อแม่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งถ้าพ่อแม่เป็น 'ตัวอย่างที่ดี' ให้ลูกเห็นมันก็จบ
.
แต่แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย พฤติกรรมทางการเงินจำนวนมากเป็นปริศนาที่ไม่เปิดเผย และก็ไม่แปลกว่าคนจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่แบ่งเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนมาเก็บออม และจริงๆ คนจำนวนมากไม่รู้รายได้ของพ่อแม่ตัวเองด้วยซ้ำตอนที่โตมา และนั่นไม่ใช่เรื่องดี เพราะสุดท้ายเด็กที่โตมาโดยพ่อแม่ไม่ได้สอนเรื่องการเงินเลย ก็ต้องโตมาเรียนรู้เองอยู่ดี และหลายคนก็อาจได้เรียนรู้เองจากบทเรียนราคาแพงในวัยกลางคนด้วยซ้ำ
.
แล้วที่นี้จะสอนลูกอย่างไรดี? ถ้าว่ากันตรงๆ มันมีเพียงสามเรื่องทางการเงินพื้นฐานที่ครอบครัวใดก็ตามที่ไม่ได้รวยล้นฟ้าจนไม่ต้องหาเงินเพิ่มควรจะสอนลูก สามเรื่องที่ว่านี้ก็คือ 1. ที่มาของเงิน 2. การใช้เงินในระดับที่เหมาะสม 3. การเก็บรักษาเงิน
.
เรื่องแรก ที่มาของเงิน: หลักพื้นฐานมันคือการสอนลูกว่าที่มาของเงินคือ 'การสร้างมูลค่า' ในระบบเศรษฐกิจ อันนี้เราจะอธิบายซับซ้อนหรือง่ายก็ได้ และอาจเริ่มจากการอธิบายให้ลูกเราฟังว่า 'งาน' ของเราสร้าง 'เงิน' ได้อย่างไร และทำไมมันถึงเป็นเงินเท่านั้น และนี่จะเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าให้กับลูกในระยะยาว โดยเราอาจให้ลูก 'ช่วยงานในบ้าน' และให้เงินกับลูกเพื่อให้ลูกมีความเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำมีมูลค่า และเขาก็สมควรได้รับค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม
.
เรื่องที่สอง การใช้เงิน: เรื่องนี้จริงๆ คือสิ่งที่เราทำให้ลูกดูอยู่แล้ว ลูกอยู่กับเราและซึมซับ 'ไลฟ์สไตล์' ของเรามาตลอด ลูกรู้ว่าควรจะกินข้าวนอกบ้านสัปดาห์ละกี่มื้อและกินของราคาประมาณไหนโดยไม่ต้องรู้ราคา ลูกรู้ว่ารถยี่ห้ออะไรรุ่นอะไรถึงจะเหมาะกับฐานะ ลูกรู้ว่ามือถือรุ่นไหนคือสิ่งที่ควรใช้ ลูกรู้ว่าปีๆ หนึ่งควรจะไปเที่ยวในประเทศหรือต่างประเทศระดับไหนถึงจะเหมาะสมกับฐานะ ฯลฯ

เรื่องเหล่านี้ถ้าเราสอนให้ลูกรู้ว่าเรามีรายรับเท่าไร และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงรายเดือน-รายปีเป็นเท่าไร ลูกก็จะเห็นความเป็นสัดส่วน ซึ่งบางครอบครัวก็จัดทริปตามเงินโบนัสแล้วสอนลูกไปเลยก็ดี ลูกจะได้รู้ว่าการไปเที่ยวแต่ละทริปนั้นมีตรรกะทางการเงินอย่างใร เช่นปีนี้ที่บ้านโด้โบนัสครึ่งเดือน ทริปครอบครัวก็อาจเป็นในประเทศ แต่ปีไหนโบนัส 2 เดือน ทริปครอบครัวก็อาจไปไกลถึงต่างประเทศได้ เป็นต้น
.
เรื่องที่สาม การเก็บรักษาเงิน: เรื่องนี้จะเริ่มซับซ้อน และก็อาจเป็นระดับ 'ข้อโต้เถียง' เลยก็ได้ เพราะแม้ว่าคนมีความรู้ด้านการเงินทุกคนจะเห็นว่ายังไงก็ต้องเก็บเงินบางส่วนจากรายได้เอาไว้สำรองในระยะยาว แต่เอาจริงๆ คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เห็นตรงกันเป๊ะๆ ว่าควรจะเก็บเงินด้วยวิธีไหนดี บางบ้านอาจเชื่อในการเก็บแบงก์ใหม่ๆ หยอดกระปุก บางบ้านเชื่อเรื่องซื้อทองเก็บเอาไว้ บางบ้านเชื่อเรื่องซื้ออสังหาฯ เก็บไว้ บางบ้านก็เชื่อเรื่องการซื้อกองทุนรวมลดหย่อนภาษีที่ลงทุนในตลาดหุ้นที่แข็งแรงอย่างสหรัฐอเมริกา บางบ้านก็อาจเชื่อในการสะสมบิตคอยน์ เรื่องทั้งหมดนี้เถียงกันยังไงก็ไม่จบ เพราะทุกคนมีเหตุผลที่สะสมในสิ่งที่ตนเองเลือก ประเด็นคือเราจะถ่ายทอดความเข้าใจว่าเราต้อง 'เก็บรักษาเงิน' กับลูกยังไง

เพราะพื้นฐานก็คือ เราเชื่อว่าในระยะยาวเราจะต้องใช้เงิน ดังนั้นเราต้องเก็บเงินเอาไว้ใช้ในตอนนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เก็บกันในรูปเงินสดเพราะว่าข้อเท็จจริงพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจปัจจุบันคือกำลังซื้อของเงินมันลดลงเรื่อยๆ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า 'ภาวะเงินเฟ้อ' ซึ่งอธิบายให้ลูกฟังง่ายๆ ก็ได้ว่าราคาก๋วยเตี๋ยวสิบปีก่อนถูกกว่าตอนนี้มาก ดังนั้นถ้าเราเก็บเงิน 40 บาทที่ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนี้อาจซื้อไม่ได้แล้ว ดังนั้นเราต้องเก็บเงินในรูปแบบที่มันเติบโต และยังมีมูลค่าพอซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ส่วนจะสอนว่าเก็บอย่างไรดี ก็แล้วแต่ครอบครัวเลยว่าเชื่อในการ 'เก็บเงิน' แบบไหน โดยต้องไม่ลืมว่าความรู้พวกนี้ก็ควรจะอัปเดตไปตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เพราะอย่างน้อยๆ การนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยแบบรุ่นพ่อแม่เราก็ไม่ทำให้มีรายได้เท่าเดิมอีกแล้ว เพราะสมัยก่อนดอกเบี้ยมัน 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบัน ฝากประจำระยะยาวสุดของธนาคารยังได้ดอกเบี้ยไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ด้วยซ้ำ
.
สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดก่อนการสอนลูก ก็คือการคุยกับ 'คู่ชีวิต' หรือ 'ครอบครัว' ของเราก่อนว่าเราจะเป็นตัวอย่างที่ดีทางการเงินให้กับลูกอย่างไร เพราะสุดท้าย เรื่องพวกนี้ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่สุดท้ายถ้าเราสอนลูกอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่าง ลูกก็ย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่เราสอน และจะไปเลียนแบบในสิ่งที่เราทำจริงๆ มากกว่า

ที่มา : BrandThink

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่